ธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่
ธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ (ไทยถิ่นเหนือ: ) ชื่อเล่น หนุ่ย[1] อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ 5 สมัย อดีตรองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เป็นนักการเมืองที่เคยถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้มากบารมีคนหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่[2] ประวัติธวัชวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เป็นบุตรเจ้าไชยสุริวงศ์ ณ เชียงใหม่ นักธุรกิจเจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่ กับ เต็ม ณ เชียงใหม่ มีศักดิ์เป็นหลานลุงของ เจ้าไชยณรงค์ ณ เชียงใหม่ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ และมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับยินดี ชินวัตร (มารดาของทักษิณ ชินวัตร, เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) [3][4] ธวัชวงศ์ สมรสกับกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่[5] (สกุลเดิม: โกไศยกานนท์) มีธิดา 2 คน คือ เดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ และแสงตะวัน ณ เชียงใหม่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตะวันพันดารา จำกัด สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมโยธา จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาสเตต ประเทศสหรัฐอเมริกา และระดับปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ งานการเมืองเจ้าธวัชวงศ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2529 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง [6] ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งแรกในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2531 สังกัดพรรคกิจสังคม จากนั้นจึงย้ายมาร่วมงานกับพรรคความหวังใหม่ และได้รับเลือกต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2535/1 การเลือกตั้ง พ.ศ. 2535/2 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2538 และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็น สส.ที่ได้รับคะแนนสูงที่สุด [7] ต่อมาในปี พ.ศ. 2547 ได้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยตรงเป็นครั้งแรก และเจ้าธวัชวงศ์ ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ในครั้งนั้น โดยการสนับสนุนของ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ได้คะแนน 399,160 คะแนน ต่อมาหลังชนะการเลือกตั้งเกิดความขัดแย้งในเรื่องพื้นที่เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ระหว่างกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ กับพายัพ ชินวัตร ส่งผลให้ธวัชวงศ์และครอบครัวได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ครั้งต่อมาในปี พ.ศ. 2551 เขาลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัย แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง จึงได้วางมือทางการเมืองชั่วคราว เจ้าธวัชวงศ์ เข้ามามีบทบาททางการเมืองอีกครั้งเมื่อสนับสนุนกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2555 และการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 3 เชียงใหม่ พ.ศ. 2556 ของภรรยา ในนามพรรคประชาธิปัตย์ [8] การดำรงตำแหน่งทางการเมืองเจ้าธวัชวงศ์ เคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2532 และเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) ในปี พ.ศ. 2535 [9] จนถึงปี พ.ศ. 2537 ในขณะดำรงตำแหน่งเขามีบทบาทในการผลักดันให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการสร้างถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2537 ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2538 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา [10] โดยมีผลงานในการริเริ่มให้มีการจัดตั้งองค์กรสนับสนุนและพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพ เมื่อปี พ.ศ. 2539 [11][12] จนเป็นที่มาของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในปัจจุบัน รวมถึงนโยบายการให้แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกรที่เกษียณอายุราชการได้ทำงานด้านบริการต่อในสถานพยาบาลของรัฐ เป็นการแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคคลกรทางการแพทย์[13] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ [14] มีผลงานที่สำคัญคือ การมอบนโยบายให้ธนาคารออมสินจัดทำโครงการนำร่องที่เรียกว่า โครงการ"บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ โดยยึดหลักศาสนาอิสลามหรือบัญชีเงินฝากที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย"[15][16] ก่อนจะเป็นที่มาของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ในปัจจุบัน ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2540 เขาไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ[17] ก่อนจะสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีเนื่องจากนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน การดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองเจ้าธวัชวงศ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ ในการประชุมสามัญ ประจำปี 2534 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2534[18] และได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2541 เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2542[19] จนกระทั่งเขาลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2544[20] งานด้านธุรกิจเจ้าธวัชวงศ์ เป็นผู้เริ่มก่อตั้งกิจการโรงแรมมีชื่อว่า "โรงแรมดวงตะวัน" (ปัจจุบันคือ โรงแรมเซ็นทาราดวงตะวัน) ร่วมกับเจ้าบิดา และพี่สาว เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2533 และเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2536 ต่อมาได้ขายกิจการให้นายวัฒนา อัศวเหม ในปี พ.ศ. 2539 [21] นอกจากนั้น ธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ ได้ประกอบกิจการธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง งานด้านการศึกษาเจ้าธวัชวงศ์ เคยได้รับแต่งตั้งเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย ในระหว่างปี พ.ศ. 2521 ถึงปี พ.ศ. 2522 [22] และเป็นที่ปรึกษาสมาคมฯ ในปี พ.ศ. 2549 [23] นอกจากนั้น ยังได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 [24] ซึ่งเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยชุดแรก นับตั้งแต่ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ [25] จนถึงปี พ.ศ. 2552 งานด้านสังคมเจ้าธวัชวงศ์ เป็นกรรมการมูลนิธินวราชดำริอนุรักษ์ฝ่ายเหนือ ชุดก่อตั้ง [26] ซึ่งเป็นมูลนิธิที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของฝ่ายเหนือ ในด้านของการร่วมงานสังคมในฐานะเจ้านายฝ่ายเหนือของธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ พบเห็นไม่บ่อยนัก ธวัชวงศ์ ณ เชียงใหม่ มีส่วนสนับสนุนการผลักดันกฎหมายว่าด้วยสภาวิศวกรรม เพื่อจัดตั้งสภาวิศวกรขึ้น[27] รางวัลและเกียรติยศเจ้าธวัชวงศ์ ได้รับพระราชทานยศนายกองโทแห่งกองอาสารักษาดินแดน [28] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ลำดับสาแหรก
อ้างอิง
|