การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535 หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า 35/1 จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 เป็นครั้งแรกหลังจากที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติได้ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ จากพรรคชาติไทยด้วยการรัฐประหารเมื่อวันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 มีทั้งหมด 15 พรรค และผู้สมัคร 2,185 คน ที่นั่งทั้งหมด 360 ที่นั่ง ผลที่ตามมาคือชัยชนะของพรรคสามัคคีธรรมซึ่งเป็นพรรคที่เพิ่งก่อตั้ง โดยได้ 79 ที่นั่ง แม้จะได้คะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคความหวังใหม่ที่นำโดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคิดเป็น 59.2%[1] การตั้งพรรคสามัคคีธรรมพรรคสามัคคีธรรม เป็นพรรคการเมืองที่รวบรวมนักการเมืองมาจากหลายพรรค และมีบุคคลใกล้ชิดกับคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ดำรงตำแหน่งสำคัญคือ นาวาอากาศตรีฐิติ นาครทรรพ ที่เป็นเลขาธิการพรรค หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม คือ นายณรงค์ วงศ์วรรณ อดีตหัวหน้าพรรครวมไทย และอดีตหัวหน้าพรรคเอกภาพ พรรคสามัคคีธรรมถูกตั้งขึ้น เพื่อสนับสนุนแกนนำของคณะ รสช. และอาจจะกล่าวได้ว่าแกนนำของ คณะ รสช. บางคน มีส่วนสนับสนุนพรรคนี้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจ หลังการเลือกตั้ง พรรคสามัคคีธรรม จึงเป็นพรรคที่มาคล้ายกับ พรรคเสรีมนังคศิลา ที่เคยสนับสนุน จอมพล ป.พิบูลสงคราม และ พรรคสหประชาไทย ที่เคยสนับสนุน จอมพลถนอม กิตติขจร ในการรักษาอำนาจหลังการรัฐประหาร นอกจากนี้นักการเมืองบางคนในสังกัด พรรคสามัคคีธรรม ยังเคยสังกัดใน พรรคเสรีนังคศิลา และพรรคสหประชาไทย อีกด้วย ผลการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานคร พรรคพลังธรรมประสบความสำเร็จอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งนั้น โดยคว้าชัยชนะถึง 32 จาก 35 ที่นั่ง ส่งผลให้นักการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายคนไม่ได้รับเลือกตั้ง รวมไปถึงร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าพรรคมวลชน (ปัจจุบันสังกัดพรรคเพื่อไทย), นายมารุต บุนนาค, นายปราโมทย์ สุขุม, นายพิชัย รัตตกุล, นายเจริญ คันธวงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ และยังเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของนักการเมืองหน้าใหม่ที่ต่อมาได้กลายเป็นบุคคลสำคัญบนเวทีการเมือง ได้แก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ซึ่งเป็น ส.ส. เพียงคนเดียวของพรรคในกรุงเทพมหานคร และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคพลังธรรมปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย การจัดตั้งรัฐบาลในชั้นแรกพรรคสามัคคีธรรม ประสบความสำเร็จ ในการสนับสนุน ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ส.ส.ของพรรคขึ้นเป็น ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญเพราะมีสถานะเป็น ประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งซึ่งก็คือเป็นผู้นำรายชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าและเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี แต่ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 มาตรา 216[2][a] ซึ่งผู้มีหน้าที่นำรายชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมทรงลงพระปรมาภิไธยและเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ ประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ซึ่งคือ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ [3] [4] โดยนำมาตรา 18 ถึงมาตรา 23 แห่ง ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534[5] ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับรสช. มาประกอบใช้กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย โดยเฉพาะมาตรา 21 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามคำกราบบังคมทูลของประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ[b] และมาตรา 23 วรรคหนึ่ง ซึ่งให้อำนาจประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหรือให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง[c] ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ มีสื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผู้บัญชาการทหารบก รองหัวหน้าคณะ รสช. หลายครั้งว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่ง พล.อ.สุจินดา ได้ตอบปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[6] ซึ่งทำให้นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดมีโอกาสที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ปรากฏข่าวว่าสหรัฐอเมริกาเคยปฏิเสธที่จะออกวีซ่า ให้กับนายณรงค์ เนื่องจากสงสัยมีการพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด[7]ซึ่งกรณีดังกล่าว นายณรงค์ วงศ์วรรณ ได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง และว่าข่าวนี้เป็นการจงใจสร้างเรื่องขึ้นเพื่อกีดกันไม่ให้ตนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี[8] และสื่อมวลชนสัมภาษณ์ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ลงนามโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีว่า ใครเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้ง พลเอกสุนทรตอบว่า “ถ้าสุไม่เป็น ก็ให้เต้เป็น” ซึ่งหมายถึงพลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล คำให้สัมภาษณ์ของพลเอกสุนทรจึงถูกโจมตีอย่างหนัก[9] พรรคสามัคคีธรรมได้ที่นั่งมากที่สุด คือ 79 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งทั้งหมด 360 ที่นั่ง ทำให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยได้รับการสนับสนุนจากอีก 4 พรรค รวมเป็น 5 พรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคสามัคคีธรรม (ส.ส. 79 คน) พรรคชาติไทย (ส.ส. 74 คน) พรรคกิจสังคม (ส.ส. 31 คน) พรรคประชากรไทย (ส.ส. 7 คน) และพรรคราษฎร (ส.ส. 4 คน) รวมเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 195 คน ขณะที่พรรคฝ่ายค้านประกอบด้วย 6 พรรค คือ พรรคความหวังใหม่ (ส.ส. 72 คน) พรรคประชาธิปัตย์ (ส.ส. 44 คน) พรรคพลังธรรม (ส.ส. 41 คน) พรรคเอกภาพ (ส.ส. 6 คน) พรรคปวงชนชาวไทย (ส.ส. 1 คน) และพรรคมวลชน (ส.ส. 1 คน) รวม 165 คน ต่อมามีการยืนยันจากนางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นผู้หนึ่งที่ “ต้องห้าม” ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา เพราะมีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด[10] ทำให้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้เลือกเสนอชื่อ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ขึ้นทูลเกล้าฯ และมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2535 ท่ามกลางกระแสเรียกร้อง "นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง" ที่เป็นกระแสหลักของสังคมในขณะนั้น ต่อเนื่องมาจากยุคของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และทำให้พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 ถูกขนานนามจากสื่อมวลชนยุคนั้นว่า พรรคมาร เมื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว พล.อ.สุจินดา ก็ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยมี พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นพี่ภรรยาของพลเอกสุจินดาได้เข้าดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศได้เข้าดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่ง หลังจากมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯแต่งตั้ง พล.อ.สุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดกระแสต่อต้านจากสังคมมากมาย ถึงขั้นมีประชาชนชุมนุมประท้วงจำนวนมาก และในที่สุดนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งทำให้ในปีนี้ต้องจัดเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งคือ การเลือกตั้ง 13 กันยายน พ.ศ. 2535 (35/2) เชิงอรรถ
ดูเพิ่มอ้างอิง
บรรณานุกรม
|