ดอน ปรมัตถ์วินัย
ดอน ปรมัตถ์วินัย (เกิด 25 มกราคม พ.ศ. 2493) เป็นนักการทูตและนักการเมืองชาวไทย เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อดีตเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน สหภาพยุโรป ประวัติดอนเกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2493 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของเลี้ยง กับ นงลักษณ์ ปรมัตถ์วินัย[1][2] ดอน จบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจาก โรงเรียนวัดสุทธิวราราม และมัธยมศึกษาตอนปลายจาก โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีใน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างปี 2510–2511 (สิงห์ดำ รุ่น 20) จากนั้น เขาได้รับทุนรัฐบาล (ก.พ.) ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นายดอนได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยม สาขารัฐศาสตร์ และปริญญาโท สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) และยังได้รับปริญญาโท สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากวิทยาลัยกฎหมายและการทูตเฟลทเชอร์ ณ มหาวิทยาลัยทัฟส์ (The Fletcher School of Law and Diplomacy at Tufts University) นอกจากนี้ เขายังจบการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 36 และการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ 6 จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. 36/ปรอ. 6 หรือ วปรอ. 366) ดอนสมรสกับ นรีรัตน์ บุนนาค กรรมการบริษัท ปานะวงศ์ จำกัด บุตรีนาวาโท ตัปนวงศ์ บุนนาค บุตรพลตรี พระยาสุรวงศ์วิวัฒน์ (เตี้ยม บุนนาค) กับกัญจนา บุนนาค ธิดาเจ้าพระยาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค)[3] มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ นายเพื่อน ปรมัตถ์วินัย ใน พ.ศ. 2561 เขาได้รับรางวัลนิสิตเก่าดีเด่นจาก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การทำงานดอนเริ่มเข้ารับราชการใน พ.ศ. 2517 ในกรมการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ[2] ต่อมาระหว่างปี 2517- 2523 ไปทำงานในสังกัดกองเอเซียตะวันออก กองเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ สำนักเลขานุการรัฐมนตรี เป็นหนึ่งในคณะของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในการเยือนปักกิ่ง เพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน เมื่อปี 2518 และทำงานกิจการอาเซียนในช่วงหลังการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 1 ณ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย 2519[ต้องการอ้างอิง] ในปี 2523 ดอนดำรงตำแหน่งรักษาการหัวหน้ากองนโยบายเศรษฐกิจ และการเงิน และหัวหน้ากองพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม สำนักงานอาเซียนแห่งประเทศไทย ต่อมาในปี 2524 ดอนได้รับแต่งตั้งให้เป็น เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนีตะวันตก และเป็นที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบอนน์ ในปี 2527[ต้องการอ้างอิง] ในพ.ศ. 2528 ดอนกลับมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรมการเมือง ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงการต่างประเทศ และอธิบดีกรมเอเชียตะวันออกในปี 2531, 2534 และ 2535 ตามลำดับ[ต้องการอ้างอิง] ต่อมาใน พ.ศ. 2537 เขาไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งประเทศไทยประจำสมาพันธรัฐสวิส นครรัฐวาติกัน และราชรัฐลิกเตนสไตน์ ถิ่นพำนัก ณ กรุงแบร์น[ต้องการอ้างอิง] ต่อมาใน พ.ศ. 2542 ย้ายมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ในช่วงนี้ได้เริ่มต้นงานด้านเยาวชนไทยในโครงการยุวทูตความดี และกลับไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอีกครั้ง โดยปี 2544 ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และมองโกเลีย ถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง กรุงปักกิ่ง[ต้องการอ้างอิง] ต่อมาใน พ.ศ. 2547 เขาย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตและหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป ราชอาณาจักรเบลเยียม และราชรัฐลักเซมเบิร์ก ถิ่นพำนัก ณ กรุงบรัสเซลส์ ดูแลทุกกิจการของไทยกับสหภาพยุโรป ใน พ.ศ. 2550 ดอนย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้ทำงานเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของกัมพูชาเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับประเทศไทย กรณีเขาพระวิหาร ที่กัมพูชาพยายามนำเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ[ต้องการอ้างอิง] ในปี 2550 เขายังได้รับรางวัลครุฑทองคำ จากสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย[4] ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้สำหรับข้าราชการพลเรือนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น และในปี 2552 ดอนเข้าดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ถิ่นพำนัก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ดูแลประสานงานความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ในช่วงระหว่างวิกฤตการเมืองไทย พ.ศ. 2553 และได้ดูแลโครงการโรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง ไทย-สหรัฐอเมริกา ในระดับทั่วประเทศ จนกระทั่งออกจากตำแหน่ง โดยลาออกจากราชการในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553 ก่อนเกษียณอายุราชการเพียง 1 เดือน[5] และในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกันนั้น นายดอน เข้ามารับตำแหน่งประธานกรรมการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน)[6] ซึ่งเขาเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ มาตั้งแต่ปี 2537[7] ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2557 เขาลาออกจากบริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน)[8] และบริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และเข้ารับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา[9] ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แทน พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558[10] กระทั่งวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2563 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่งควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ[11] เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
|