แคโรลีน รูท เบอร์ทอซซี (อังกฤษ : Carolyn Ruth Bertozzi ; เกิด 10 ตุลาคม ค.ศ. 1966) เป็นนักเคมี ชาวอเมริกัน ผู้มีผลงานกว้างขวางครอบคลุมทั้งสาขาเคมีและชีววิทยา เธอเป็นผู้บัญญัติวลี "เคมีไบโอออร์โทโกนอล " (bioorthogonal chemistry )[ 2] สำหรับปฏิกิริยาเคมีที่เข้ากันได้กับระบบในสิ่งมีชีวิต ผลงานที่สำคัญของเธอได้แก่การสังเคราะห์เครื่องมือทางเคมีเพื่อศึกษาน้ำตาลบนเยื่อหุ้มเซลล์และผลกระทบต่อโรคต่าง ๆ รวมทั้งมะเร็ง การอักเสบ และการติดเชื้อไวรัสรวมถึงโควิด-19[ 3] เธอดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์แอนน์ ที. และรอเบิร์ต เอ็ม. เบสประจำภาควิชามนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด [ 4] และดำรงตำแหน่ง Investigator ประจำสถาบันการแพทย์ฮาเวิร์ด ฮิวส์ (HHMI)[ 5] และก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งประธานศูนย์วิจัยโมเลกุลาร์ฟาวน์ดรี ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยด้านนาโนเทคโนโลยี ประจำห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอว์เรนซ์ เบิร์กลีย์ [ 6] เธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นหญิงรักร่วมเพศ และเป็นต้นแบบสำหรับนักศึกษาและเพื่อนร่วมงานในวงการวิทยาศาสตร์[ 7] [ 8]
เบอร์ทอซซีได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ใน ค.ศ. 2022 ร่วมกับม็อตเติน พี. เมิลดัล และคาร์ล แบร์รี ชาร์เพลส "สำหรับการพัฒนาเคมีคลิกและเคมีไบโอออร์โทโกนอล"[ 9]
การศึกษา
แคโรลีน เบอร์ทอซซีสำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต ด้านเคมีด้วยเกียรตินิยมสูงสุด (summa cum laude ) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยมีที่ปรึกษาได้แก่ศาสตราจารย์โจ กราบอฟสกี[ 10] ขณะที่เธอศึกษาระดับปริญญาตรีนั้น เธอเล่นคีย์บอร์ดในวง Bored of Education ซึ่งมีทอม โมเรลโล เป็นมือกีตาร์ ผู้ซึ่งต่อมาได้ร่วมก่อตั้งวงเรจอะเกนสต์เดอะแมชชีน [ 11] [ 12] หลังจบการศึกษาปริญญาตรี เธอเข้าทำงานที่ห้องปฏิบัติการเบลล์ ร่วมกับคริส ชิดซีย์[ 13]
เบอร์ทอซซีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเคมีจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ใน ค.ศ. 1993 โดยมีที่ปรึกษาได้แก่มาร์ก เบดนาร์สกี งานวิจัยปริญญาเอกของเธอเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์สารที่มีโครงสร้างคล้ายโอลิโกแซ็กคาไรด์ [ 14] เธอค้นพบว่าไวรัสสามารถจับกับน้ำตาลในร่างกายได้[ 15] ซึ่งทำให้เธอสนใจศึกษาเกี่ยวกับชีววิทยาน้ำตาล (glycobiology ) ขณะที่เธอศึกษาอยู่ปีที่สาม เบดนาร์สกีพบว่าเขาเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เขาต้องลาพักก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนสายไปศึกษาด้านแพทยศาสตร์ ทำให้เธอและสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มทำงานวิจัยเพียงลำพังโดยไม่มีที่ปรึกษา[ 16]
อาชีพด้านการวิจัย
หลังจากเบอร์ทอซซีจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เธอเข้าทำงานวิจัยหลังปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก กับสตีเวน โรเซน เธอศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของโอลิโกแซ็กคาไรด์บริเวณเนื้อเยื่อบุผิว ซึ่งช่วยให้เซลล์ยึดเกาะบริเวณที่เกิดการอักเสบ [ 17] [ 18] เธอสามารถดัดแปลงโมเลกุลของโปรตีนและน้ำตาลในเยื่อหุ้มเซลล์เพื่อให้เซลล์สามารถรับวัสดุจากภายนอกเช่นอวัยวะเทียมได้[ 19]
เบอร์ทอซซีเข้าเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และนักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอว์เรนซ์ เบิร์กลีย์ ใน ค.ศ. 1996 โดยเธอดำรงตำแหน่งเป็นประธานศูนย์วิจัยโมเลกุลาร์ฟาวน์ดรี [ 17] [ 20] และดำรงตำแหน่งเป็น investigator ที่สถาบันการแพทย์ฮาเวิร์ด ฮิวส์ ตั้งแต่ ค.ศ. 2000[ 6] ใน ค.ศ. 1999 เธอพัฒนาเคมีสาขาใหม่ที่เรียกว่าเคมีไบโอออร์โกโกนอล (bioorthogonal chemistry ) และบัญญัติวลีดังกล่าวใน ค.ศ. 2003[ 21] [ 22] [ 23] เคมีสาขาใหม่นี้ทำให้นักวิจัยสามารถดัดแปลงโมเลกุลในสิ่งมีชีวิตได้โดยไม่รบกวนกระบวนการทำงานของเซลล์[ 24] ใน ค.ศ. 2015 เบอร์ทอซซีย้ายไปประจำที่สถาบัน ChEM-H มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด [ 25]
เบอร์ทอซซีศึกษาชีววิทยาน้ำตาล ของโรคเรื้อรังเช่นมะเร็ง อาการอักเสบเช่นข้ออักเสบ และโรคติดเชื้อ เช่นวัณโรค เธอมีส่วนสำคัญทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจโครงสร้างของโอลิโกแซ็กคาไรด์ บนผิวเซลล์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการระบุเซลล์และการสื่อสารระหว่างเซลล์ เบอร์ทอซซีใช้เทคนิคในสาขาเคมีออร์โทโกนอลเพื่อศึกษาไกลโคคาลิกซ์ ซึ่งเป็นน้ำตาลที่อยู่รอบเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งทำให้การวิจัยในสาขาการบำบัดทางชีวภาพ (biotherapeutics) พัฒนาขึ้นอย่างมาก[ 26] กลุ่มวิจัยของเธอยังพัฒนาเครื่องมือสำหรับการวิจัยด้วย เช่นเครื่องมือทางเคมีสำหรับศึกษาไกลแคน ในระบบสิ่งมีชีวิต[ 6] งานวิจัยของกลุ่มวิจัยเบอร์ทอซซีซึ่งใช้นาโนเทคโนโลยี ในการตรวจวัดในระบบทางชีววิทยานำไปสู่การพัฒนาชุดทดสอบวัณโรคในสถานพยาบาลซึ่งให้ผลเร็ว[ 27] [ 28] ใน ค.ศ. 2017 เธอได้รับเชิญให้บรรยายในเท็ดทอล์ก ในหัวข้อเรื่อง "What the sugar coating on your cells is trying to tell you"[ 29]
ธุรกิจสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
นอกเหนือจากงานวิชาการแล้ว เบอร์ทอซซียังมีส่วนร่วมกับองค์กรธุรกิจสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีชีวภาพหลายองค์กร ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เบอร์ทอซซีและสตีเวน โรเซนร่วมก่อตั้ง Thios Pharmaceuticals เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการสังเคราะห์ซัลเฟตเอสเทอร์ทางชีวภาพ[ 30] ต่อมาใน ค.ศ. 2008 เบอร์ทอซซีได้ก่อตั้ง Redwood Bioscience ขึ้นที่เมืองเอเมอรีวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย [ 31] Redwood Bioscience เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ใช้ SMARTag ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการดัดแปลงโครงสร้างโปรตีนเพื่อให้โมเลกุลยาที่มีขนาดเล็กสามารถยึดเกาะได้เพื่อใช้ในการรักษามะเร็ง[ 15] [ 32] บริษัทดังกล่าวถูก Catalent Pharma Solutions ซื้อกิจการใน ค.ศ. 2014 โดยเบอร์ทอซซียังคงดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านชีววิทยาของบริษัท[ 32] นอกจากนี้ใน ค.ศ. 2014 เธอยังร่วมก่อตั้ง Enable Biosciences ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการวินิจฉัยเบาหวานชนิดที่ 1 เอชไอวี และโรคอื่น ๆ ที่บ้าน[ 21] [ 33]
ธุรกิจสตาร์ตอัปอื่น ๆ ที่เบอร์ทอซซีมีส่วนร่วมก่อตั้งตั้งแต่ ค.ศ. 2015 ได้แก่
Palleon Pharma (ค.ศ. 2015)[ 34] – มุ่งเน้นด้านการศึกษาตัวยับยั้งเพื่อนำไปสู่การรักษามะเร็ง[ 35]
InterVenn Biosciences (ค.ศ. 2017) – มุ่งเน้นด้านการใช้เทคนิคแมสสเปกโตรเมตรีและปัญญาประดิษฐ์ ในการวินิจฉัยมะเร็งรังไข่ [ 21] [ 36]
OliLux Biosciences (ค.ศ. 2019) – มุ่งเน้นด้านการพัฒนาวิธีการตรวจหาเชื้อวัณโรค[ 21] [ 37]
Lycia Therapeutics (ค.ศ. 2019) – มุ่งเน้นด้านการวิจัย lysosome-targeting chimeras (LYTACs) เพื่อจัดการเซลล์เป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
เบอร์ทอซซียังเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาของบริษัทยาหลายแห่งรวมทั้งแกล็กโซสมิทไคลน์ และอีลี ลิลลี [ 38] นอกจากนี้ ใน ค.ศ. 2018 เธอได้ก่อตั้งมูลนิธิ Grace Science Foundation เพื่อพัฒนาวิธีการรักษาอาการเอนไซม์ NGLY1 บกพร่องที่ได้ผลดีและราคาไม่สูง[ 39]
ผลงานตีพิมพ์
เบอร์ทอซซีมีผลงานตีพิมพ์ที่สำคัญมากกว่า 600 ฉบับ โดยผลงานสำคัญที่มีผู้อ้างอิงเป็นจำนวนมากที่สุดมีดังนี้
Sletten, EM; Bertozzi, CR (2009). "Bioorthogonal Chemistry: Fishing for Selectivity in a Sea of Functionality" . Angewandte Chemie International Edition in English . 48 (38): 6974–98. doi :10.1002/anie.200900942 . PMC 2864149 . PMID 19714693 .
Bertozzi, Carolyn R.; Kiessling, Laura L. (2001). "Chemical Glycobiology". Science . 291 (5512): 2357–64. Bibcode :2001Sci...291.2357B . doi :10.1126/science.1059820 . PMID 11269316 . S2CID 9585674 .
Saxon, Eliana; Bertozzi, Carolyn R. (2000). "Cell Surface Engineering by a Modified Staudinger Reaction". Science . 287 (5460): 2007–10. Bibcode :2000Sci...287.2007S . doi :10.1126/science.287.5460.2007 . PMID 10720325 . S2CID 19720277 .
Agard, Nicholas J.; Prescher, Jennifer A.; Bertozzi, Carolyn R. (2005). "A Strain-Promoted [3 + 2] Azide−Alkyne Cycloaddition for Covalent Modification of Biomolecules in Living Systems". Journal of the American Chemical Society . 126 (46): 15046–15047. doi :10.1021/ja044996f . PMID 15547999 .
Dube, DH; Bertozzi, CR (2005). "Glycans in cancer and inflammation—potential for therapeutics and diagnostics". Nature Reviews Drug Discovery . 4 (6): 477–88. doi :10.1038/nrd1751 . PMID 15931257 . S2CID 22525932 .
ชีวิตส่วนตัว
แคโรลีน เบอร์ทอซซีเติบโตในครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลีในเมืองเล็กซิงตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ [ 40] แม่ของเธอคือนอร์มา กลอเรีย เบอร์ทอซซี ส่วนพ่อของเธอคือวิลเลียม เบอร์ทอซซี [ 41] ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ประจำสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ [ 42] [ 43] [ 44] เธอมีพี่น้องผู้หญิงอีกสองคน หนึ่งในนั้นได้แก่แอนเดรีย เบอร์ทอซซี ซึ่งเป็นอาจารย์คณิตศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส [ 45]
เบอร์ทอซซีเปิดเผย ว่าเป็นหญิงรักร่วมเพศ ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980[ 46]
อ้างอิง
↑ Prescher, Jennifer Ann (2006). Probing Glycosylation in Living Animals with Bioorthogonal Chemistries (วิทยานิพนธ์ PhD) (ภาษาอังกฤษ). University of California, Berkeley . OCLC 892833679 . ProQuest 305348554 .
↑ "Carolyn R. Bertozzi" . HHMI.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-02-05 .
↑ "Carolyn Bertozzi | Department of Chemistry" . chemistry.stanford.edu . สืบค้นเมื่อ 2022-03-16 .
↑ Adams, Amy. "Stanford chemist explains excitement of chemistry to students, the public" . Stanford News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2022-01-05. สืบค้นเมื่อ 19 July 2015 .
↑ "Carolyn Bertozzi honored by GLBT organization" . UC Berkeley News . 27 February 2007. สืบค้นเมื่อ 8 February 2013 .
↑ 6.0 6.1 6.2 "Carolyn Bertozzi" . HHMI. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2022-10-05. สืบค้นเมื่อ 8 February 2013 .
↑ Cassell, Heather (February 22, 2007). "Two Bay Area gay scientists honored" . Bay Area Reporter . สืบค้นเมื่อ 24 October 2015 .
↑ "NOGLSTP to Honor Bertozzi, Gill, Mauzey, and Bannochie at 2007 Awards Ceremony in February" . NOGLSTP. สืบค้นเมื่อ 2019-02-19 .
↑ https://www.nobelprize.org/prizes/chemistry/2022/press-release/
↑ Grabowski, Joseph J.; Bertozzi, Carolyn R.; Jacobsen, John R.; Jain, Ahamindra; Marzluff, Elaine M.; Suh, Annie Y. (1992). "Fluorescence probes in biochemistry: An examination of the non-fluorescent behavior of dansylamide by photoacoustic calorimetry". Analytical Biochemistry . 207 (2): 214–26. doi :10.1016/0003-2697(92)90003-P . PMID 1481973 .
↑ "Meet Carolyn Bertozzi" . NIGMS. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2017-10-05. สืบค้นเมื่อ 8 February 2013 .
↑ Houlton, Sarah (Jan 12, 2018). "Carolyn Bertozzi" . Chemistry World . สืบค้นเมื่อ Oct 7, 2020 .
↑ "Carolyn Bertozzi' s Winding Road to an Extraordinary Career – inChemistry" . inchemistry.acs.org . สืบค้นเมื่อ 2020-02-17 .
↑ "Bertozzi: Infectious In Her Enthusiasm". Chemical & Engineering News . 78 (5): 26–35. January 31, 2000.
↑ 15.0 15.1 "Carolyn Bertozzi | Lemelson-MIT Program" . lemelson.mit.edu . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2020-08-10. สืบค้นเมื่อ 2020-02-05 .
↑ Azvolunsky, Anna (May 31, 2016). "Carolyn Bertozzi: Glycan Chemist" . The Scientist Magazine . สืบค้นเมื่อ Oct 7, 2020 .
↑ 17.0 17.1 Davis, T. (16 February 2010). "Profile of Carolyn Bertozzi" . Proceedings of the National Academy of Sciences . 107 (7): 2737–2739. Bibcode :2010PNAS..107.2737D . doi :10.1073/pnas.0914469107 . PMC 2840349 . PMID 20160128 .
↑ Gardiner, Mary Beth (2005). "The Right Chemistry" (PDF) . HHMI Bulletin . Winter 2005: 8–12. สืบค้นเมื่อ 24 October 2015 .
↑ "Carolyn Bertozzi" . Chemical Heritage Foundation . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ July 12, 2016.
↑ "Former Berkeley Lab Scientist Carolyn Bertozzi Wins 2022 Nobel Prize in Chemistry" . สืบค้นเมื่อ 7 September 2022 .
↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 "Carolyn Bertozzi's glycorevolution" . Chemical & Engineering News (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-02-12 .
↑ "NIHF Inductee Carolyn Bertozzi Invented Bioorthogonal Chemistry" . www.invent.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-02-05 .
↑ Sletten, Ellen M.; Bertozzi, Carolyn R. (2011-09-20). "From Mechanism to Mouse: A Tale of Two Bioorthogonal Reactions" . Accounts of Chemical Research . 44 (9): 666–676. doi :10.1021/ar200148z . ISSN 0001-4842 . PMC 3184615 . PMID 21838330 .
↑ Sletten, Ellen M.; Bertozzi, Carolyn R. (2009). "Bioorthogonal Chemistry: Fishing for Selectivity in a Sea of Functionality" . Angewandte Chemie International Edition in English . 48 (38): 6974–6998. doi :10.1002/anie.200900942 . ISSN 1433-7851 . PMC 2864149 . PMID 19714693 .
↑ "Carolyn R. Bertozzi" . bertozzigroup.stanford.edu . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-08-06. สืบค้นเมื่อ 2018-04-13 .
↑ Xiao, Han; Woods, Elliot C.; Vukojicic, Petar; Bertozzi, Carolyn R. (2016-08-22). "Precision glycocalyx editing as a strategy for cancer immunotherapy" . Proceedings of the National Academy of Sciences (ภาษาอังกฤษ). 113 (37): 10304–10309. Bibcode :2016PNAS..11310304X . doi :10.1073/pnas.1608069113 . ISSN 0027-8424 . PMC 5027407 . PMID 27551071 .
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ lemelson
↑ Kamariza, Mireille; Shieh, Peyton; Ealand, Christopher S.; Peters, Julian S.; Chu, Brian; Rodriguez-Rivera, Frances P.; Babu Sait, Mohammed R.; Treuren, William V.; Martinson, Neil; Kalscheuer, Rainer; Kana, Bavesh D. (2018). "Rapid detection of Mycobacterium tuberculosis in sputum with a solvatochromic trehalose probe" . Science Translational Medicine . 10 (430): eaam6310. doi :10.1126/scitranslmed.aam6310 . ISSN 1946-6242 . PMC 5985656 . PMID 29491187 .
↑ Bertozzi, Carolyn. "Carolyn Bertozzi | Speaker | TED" . www.ted.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2020-02-05 .
↑ McCarthy, Alice A. (February 2004). "Thios Pharmaceuticals Targeting Sulfation Pathways" (PDF) . Chemistry & Biology . 11 (2): 147–148. doi :10.1016/j.chembiol.2004.02.008 . PMID 15123271 .
↑ McCook, Alison (March 6, 2013). "Women in Biotechnology: Barred from the Boardroom" . Scientific American . สืบค้นเมื่อ 24 October 2015 .
↑ 32.0 32.1 "Redwood Bioscience Inc. | IPIRA" . ipira.berkeley.edu . สืบค้นเมื่อ 2020-02-05 .
↑ "Enable Biosciences, Inc. | IPIRA" . ipira.berkeley.edu . สืบค้นเมื่อ 2020-02-12 .
↑ "Palleon Pharma – Leadership" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-07-06. สืบค้นเมื่อ 2022-10-10 .
↑ "Palleon Pharma" . MassBio (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2020-05-28 .
↑ "InterVenn Biosciences | AI-Driven Mass Spectrometry" . intervenn.bio . สืบค้นเมื่อ 2020-02-12 .
↑ Dinkele, Ryan; Gessner, Sophia; Koch, Anastasia S.; Morrow, Carl; Gqada, Melitta; Kamariza, Mireille; Bertozzi, Carolyn R.; Smith, Brian; McLoud, Courtney; Kamholz, Andrew; Bryden, Wayne (2019-12-27). "Capture and visualization of live Mycobacterium tuberculosis bacilli from tuberculosis bioaerosols" . bioRxiv (ภาษาอังกฤษ): 2019.12.23.887729. doi :10.1101/2019.12.23.887729 . S2CID 213539003 .
↑ Company, Eli Lilly and. "Lilly Announces that Professor Carolyn Bertozzi has Resigned from its Board of Directors" . www.prnewswire.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-03-16 .
↑ "Grace Science Foundation" . rarediseases.info.nih.gov . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2020-10-22. สืบค้นเมื่อ 2020-02-12 .
↑ "Italian American Scientist Carolyn Bertozzi Wins the Nobel Prize in Chemistry" . 5 October 2022.
↑ "NORMA GLORIA BERTOZZI Obituary (2021) Boston Globe" . Legacy.com .
↑ "MIT Physics Department Faculty" . สืบค้นเมื่อ 4 June 2012 .
↑ Davis, T. (2010-02-16). "Profile of Carolyn Bertozzi" . Proceedings of the National Academy of Sciences (ภาษาอังกฤษ). 107 (7): 2737–2739. Bibcode :2010PNAS..107.2737D . doi :10.1073/pnas.0914469107 . ISSN 0027-8424 . PMC 2840349 . PMID 20160128 .
↑ Mukhopadhyay, Rajendrani (September 1, 2016). "Keeping it Real" . ASBMB Today . สืบค้นเมื่อ November 3, 2020 .
↑ "UCLA Math Department Faculty" . สืบค้นเมื่อ 4 June 2012 .
↑ Navals, Pauline (2022-04-05). " "ONE ON ONE WITH CAROLYN BERTOZZI" " . chemical & engineering news (ภาษาอังกฤษ).
แหล่งข้อมูลอื่น
ค.ศ. 1901–1925 ค.ศ. 1926–1950 ค.ศ. 1951–1975 ค.ศ. 1976–2000 ค.ศ. 2001–ปัจจุบัน
นานาชาติ ประจำชาติ วิชาการ ศิลปิน อื่น ๆ