คาร์ล แบร์รี ชาร์เพลส
คาร์ล แบร์รี ชาร์เพลส (อังกฤษ: Karl Barry Sharpless; เกิด 28 เมษายน ค.ศ. 1941) เป็นนักเคมีชาวอเมริกันผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีสองครั้ง มีผลงานเด่นด้านการสังเคราะห์แบบเลือกอิแนนชิโอเมอร์และเคมีคลิก ชาร์เพลสได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี "สำหรับผลงานว่าด้วยปฏิกิริยาออกซิเดชัน ที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาไครัล" ใน ค.ศ. 2001 โดยได้รับรางวัลกึ่งหนึ่ง (อีกกึ่งหนึ่งมอบให้แก่วิลเลียม สแตนดิช โนลส์และเรียวจิ โนโยริ "สำหรับผลงานว่าด้วยปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชันที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาไครัล") และได้รับรางวัลในสาขาเดียวกันอีกครั้งใน ค.ศ. 2022 ร่วมกับแคโรลีน เบอร์ทอซซีและม็อตเติน พี. เมิลดัล "สำหรับการพัฒนาเคมีคลิกและเคมีไบโอออร์โทโกนอล"[1][2] ชีวิตวัยเด็กและการศึกษาชาร์เพลสเกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1941 ในนครฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย เขาใช้ชีวิตวัยเด็กในช่วงฤดูร้อนที่บ้านพักตากอากาศของครอบครัวริมแม่น้ำแมนัสกวานในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ที่ซึ่งทำให้เขาสนใจการตกปลาเป็นงานอดิเรกนับตั้งแต่นั้น[3] ชาร์เพลสจบการศึกษาจากโรงเรียนเฟรนส์เซนทรัลใน ค.ศ. 1959[4] และเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยดาร์ตมัธจนจบศิลปศาสตรบัณฑิตใน ค.ศ. 1963 แต่เดิมชาร์เพลสตั้งใจจะเข้าศึกษาคณะแพทยศาสตร์ แต่อาจารย์ที่ปรึกษาโน้มน้าวให้เขาเรียนเคมีต่อหลังจบปริญญาตรี[5] ชาร์เพลสจบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเคมีอินทรีย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดใน ค.ศ. 1968 โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาได้แก่ยูจีน แวน ทาเมเลน[6] เขาทำงานวิจัยหลังปริญญาเอกด้านเคมีโลหอินทรีย์กับเจมส์ พี. คอลล์แมนที่สแตนฟอร์ดจนถึง ค.ศ. 1969 ก่อนจะย้ายไปมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อศึกษาด้านวิทยาเอนไซม์ในกลุ่มปฏิบัติการของค็อนราท เอ. บล็อค ระหว่าง ค.ศ. 1969 และ 1970[5] ผลงานวิชาการชาร์เพลสดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (ค.ศ. 1970–1977 และ 1980–1990) และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (ค.ศ. 1977–1980)[7] ขณะประจำอยู่ที่สแตนฟอร์ดเขาค้นพบปฏิกิริยาอีพอกซิเดชันชาร์เพลส (Sharpless epoxidation) ในการสังเคราะห์ (+)-disparlure ซึ่งเป็นฟีโรโมนของผีเสื้อยิปซี (gypsy moth) และเขายังคงใช้ปฏิกิริยานี้ในงานวิจัยของเขาหลังจากกลับไปประจำที่เอ็มไอที[5] ชาร์เพลสดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ดับเบิลยู. เอ็ม. เค็กที่ศูนย์วิจัยสคริปส์ (Scripps Research) ตั้งแต่ ค.ศ. 1990 งานวิจัยชาร์เพลสพัฒนาปฏิกิริยาออกซิเดชันแบบคัดเลือกสเตอริโอเคมี และได้แสดงให้เห็นว่าตัวยับยั้งปฏิกิริยาที่มีความไวระดับเฟมโตโมลาร์ (10-15 โมลต่อลิตร) สามารถสังเคราะห์ได้โดยใช้เอนไซม์แอซิติลโคลีเนสเทอเรส (acetylcholinesterase) โดยเริ่มต้นจากเอไซด์และแอลไคน์ ปฏิกิริยาเคมีที่เขาค้นพบช่วยให้การสังเคราะห์สารประกอบอินทรีย์แบบอสมมาตรเป็นไปได้ง่ายขึ้นอย่างมาก[8] ใน ค.ศ. 2001 เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีกึ่งหนึ่งสำหรับผลงานปฏิกิริยาออกซิเดชันที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาไครัล ได้แก่ปฏิกิริยาอีพอกซิเดชันชาร์เพลส ปฏิกิริยาไดไฮดรอกซิเลชันชาร์เพลส (Sharpless asymmetric dihydroxylation) และปฏิกิริยาออกซิเอมิเนชันชาร์เพลส (Sharpless oxyamination) อีกกึ่งหนึ่งมอบให้แก่วิลเลียม เอส. โนลส์และเรียวจิ โนโยริสำหรับผลงานไฮโดรจีเนชันที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาไครัล[9] ชาร์เพลสคิดค้นวลี "เคมีคลิก" (click chemistry) ใน ค.ศ. 1998 และชาร์เพลสและนักศึกษาของเขาอีกสองคนที่ศูนย์วิจัยสคริปส์ได้แก่ฮาร์ทมุท ค็อลพ์และเอ็ม. จี. ฟินน์ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเคมีคลิกในผลงานตีพิมพ์ ค.ศ. 2001[10][11] ซึ่งประกอบไปด้วยปฏิกิริยาที่จำเพาะผลิตภัณฑ์และคายความร้อนซึ่งเกิดขึ้นในสภาวะที่ไม่รุนแรง ปฏิกิริยาในกลุ่มนี้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดได้แก่ปฏิกิริยาเอไซด์–แอลไคน์ไซโคลแอดดิชันฮูสเก็น (Azide–alkyne Huisgen cycloaddition) เพื่อสังเคราะห์ 1,2,3-ไตรอาโซล[12] ใน ค.ศ. 2022 กูเกิลสกอลาร์ระบุว่าดัชนีเอชของชาร์เพลสอยู่ที่ 180[13] ส่วนสโกปัสระบุว่าอยู่ที่ 124[14] รางวัลเชิดชูเกียรติชาร์เพลสได้รับรางวัลโนเบลสองครั้งในสาขาเคมีใน ค.ศ. 2001 สำหรับผลงานปฏิกิริยาออกซิเดชันโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาไครัลและใน ค.ศ. 2022 สำหรับผลงาน "เคมีคลิก"[2][15] ใน ค.ศ. 2019 ชาร์เพลสได้รับรางวัลเหรียญพรีสต์ลีย์ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของสมาคมเคมีแห่งสหรัฐสำหรับ “การคิดค้นปฏิกิริยาออกซิเดชันแบบอสมมาตร แนวคิดเคมีคลิก และการพัฒนาปฏิกิริยาไซโคลแอดดิชันระหว่างเอไซด์และอะเซทิลีนโดยใช้ทองแดงเร่งปฏิกิริยา”[4][5] เขาดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์เกียรติคุณประจำมหาวิทยาลัยคีวชู และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากราชสถาบันเทคโนโลยีคอเทฮอ (ค.ศ. 1995) มหาวิทยาลัยเทคนิคมิวนิก (ค.ศ. 1995) มหาวิทยาลัยคาทอลิกลูแว็ง (ค.ศ. 1996) และมหาวิทยาลัยเวสลียัน (ค.ศ. 1999)[7] ชีวิตส่วนตัวชาร์เพลสสมรสกับแจน ดิวเซอร์ใน ค.ศ. 1965 และมีบุตรด้วยกันสามคน[8] ตาของเขาบอดข้างหนึ่งหลังจากประสบอุบัติเหตุในห้องปฏิบัติการใน ค.ศ. 1970 ระหว่างที่เขาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ โดยหลอดแก้วบางสำหรับการวิเคราะห์นิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์สเปกโตรสโกปีระเบิด หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ชาร์เพลสเน้นย้ำอยู่เสมอว่า "ไม่มีข้ออ้างใด ๆ เลยที่จะไม่สวมแว่นนิรภัยในห้องปฏิบัติการ”[16] อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|