อัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัม (ดัตช์: Amsterdam ออกเสียง: [ˌɑmstərˈdɑm]) เป็นเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอัมสเติล จังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์ ปัจจุบันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ มีประชากรในเขตตัวเมืองประมาณ 872,680 คน[3] แต่ถ้านับรวมประชากรในเขตเมืองโดยรอบทั้งหมด จะมีประมาณ 1,380,872 ล้านคน[4] (ข้อมูลปี ค.ศ. 2019) ชื่อของอัมสเตอร์ดัมมาจากคำว่า อัมสเติลเรอดัมเมอ (Amstelredamme) หมายถึงเมืองที่ตั้งอยู่ริมเขื่อนของแม่น้ำอัมสเติล[5] มีประวัติศาสตร์เริ่มต้นจากการเป็นหมู่บ้านชาวประมงในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ก่อนจะกลายเป็นศูนย์กลางการค้า การเงิน และการเดินเรือที่สำคัญในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17[6] ซึ่งเป็นช่วงยุคทองของเนเธอร์แลนด์ และขยายตัวออกไปอีกในศตวรรษที่ 19 และ 20 แต่ระบบคลองที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ยังได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดีจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การยูเนสโก ปัจจุบัน อัมสเตอร์ดัมเป็นศูนย์การการค้าและการเงิน และเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของของเนเธอร์แลนด์[7] แต่ศูนย์กลางของหน่วยงานรัฐบาลนั้นอยู่ที่เฮก บริษัทยักษ์ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม เช่น ฟิลิปส์ อักโซโนเบิล โตมโตม และไอเอ็นจี[8] ส่วนบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็มีสำนักงานใหญ่สาขายุโรปอยู่ในอัมสเตอร์ดัมเช่นกัน เช่น อูเบอร์ เน็ตฟลิกซ์ และเทสลามอเตอร์ส[9] อัมสเตอร์ดัมเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัมสคิปโฮล ท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสารมาเป็นอันดับ 3 ของยุโรป และที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ไรกส์มิวเซียม พิพิธภัณฑ์ฟันโคค พิพิธภัณฑ์สเตเดไลก์ และบ้านอันเนอ ฟรังค์ ทั้งยังเป็นบ้านของผู้มีชื่อเสียงหลายคน ทั้งแร็มบรันต์ ฟินเซนต์ ฟัน โคค บารุค สปิโนซา และอันเนอ ฟรังค์ จึงมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกว่า 5 ล้านคนต่อปี[10] เข้าไปผ่อเฟสบุคกษัตย์น้ำแข็งหนะ ตรวจก้าว่าอะไรเหรอ ไม่เรียนหนังสือ หรือ จะเป็นใหญ่ ประวัติศาสตร์ยุคกลางและการปฏิวัติเมื่อเทียบกับเมืองเก่าแก่ในเนเธอร์แลนด์อย่างไนเมเคิน รอตเทอร์ดาม และยูเทรกต์แล้ว อัมสเตอร์ดัมถือเป็นเมืองที่อายุน้อยกว่ามาก นักประวัติศาสตร์ระบุว่าพื้นที่รอบๆอัมสเตอร์ดัมเกิดขึ้นราวๆปลายคริสต์ศตวรรษ 10 จากการผันน้ำทะเลออก ก่อเป็นพื้นที่เกษตรกรรม[11] จนเติบโตและยกระดับเป็นเมืองเมื่อราว ค.ศ. 1300 หรือ 1306[12] จากนั้น ในศตวรรษที่ 14 อัมสเตอร์ดัมเติบโตขึ้นมาจากความสำเร็จในค้าขายกับสันนิบาตฮันเซอ ต่อมาในศตวรรษที่ 16 เนเธอร์แลนด์ก่อการปฏิวัติต่อต้านการปกครองของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน เนื่องจากระบบเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมและการไต่สวนทางศาสนาต่อต้านนิกายโปรเตสแตนท์อย่างรุนแรง การปฏิวัตินำไปสู่สงคราม 80 ปีกับสเปนแและการจัดตั้งสาธารณรัฐดัตช์[13] เป็นเอกราชต่อการปกครองของสเปน มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ทำให้ชาวยิวจากคาบสมุทรไอบีเรีย ชาวอูว์เกอโนจากฝรั่งเศส พ่อค้า จิตรกร และผู้ลี้ภัยศาสนาจากฟลานเดอร์สทางตอนใต้ของกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ อพยพเข้ามาอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม การย้ายถิ่นครั้งใหญ่นี้ทำให้อัมสเตอร์ดัมเติบโตขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการค้าของยุโรป ทั้งยังเปิดกว้างรับแนวคิดภูมิปัญญาที่หลากหลาย มีเสรีภาพทางสื่ออย่างสูง[14] ศูนย์กลางของเนเธอร์แลนด์ในช่วงยุคทองในช่วงศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงที่เรียกว่ายุคทองของเนเธอร์แลนด์ จากการรุ่งเรืองของการค้าขายและการขยายอิทธิพลใหญ่ของจักรวรรดิดัตช์ไปจนถึงอินโดนีเซีย อินเดีย ศรีลังกา และอินเดีย(ในปัจจุบัน) อัมสเตอร์ดัมเป็นศูนย์กลางการระดมทุนของพ่อค้า[15]ผู้หวังจะทำกำไรจากบริษัทอินเดียตะวันออกและบริษัทอินเดียตะวันตกของเนเธอร์แลนด์[16] ผู้ผูกขาดการค้ากับชาวอาณานิคมในดินแดนโพ้นทะเล มีการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกที่เปิดขายหุ้นต่อสาธารณชนเมื่อปี ค.ศ. 1602[17] และก่อตั้งธนาคารแห่งอัมสเตอร์ดัมเพื่อให้บริการเต็มรูปแบบแก่พ่อค้าชาวดัตช์ในปี ค.ศ. 1609 และเป็นแหล่งทุนสำรองของประเทศไปพร้อมๆกัน การเสื่อมและยุคใหม่ความรุ่งเรืองของอัมสเตอร์ดัมถึงคราวต้องสะดุดในศตวรรษที่ 18 และ 19 จากผลพวงของสงครามระหว่างสาธารณรัฐดัตช์กับอังกฤษและฝรั่งเศสหลายต่อหลายครั้ง จนมาถึงจุดตกต่ำที่สุดเมื่อเนเธอร์แลนด์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิฝรั่งเศสในสมัยของจักรพรรดินโปเลียน เมื่อฝรั่งเศสเสื่อมอำนาจลง ได้มีการสถาปนาสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ขึ้นในปี ค.ศ. 1815 อันเป็นจุดเปลี่ยนผันกลับอีกครั้ง ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นจุดที่เป็นยุคทองยุคที่สองของอัมสเตอร์ดัมอีกครั้งเมื่อมีการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว[18] มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ สถานีรถไฟ และโรงคอนเสิร์ตขึ้นใหม่หลายแห่ง และในขณะเดียวกันก็เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมพร้อมๆกันทั่วประเทศ มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างอัมสเตอร์ดัมกับแม่น้ำไรน์และทะเลเหนือโดยตรง ทำให้การค้าของอัมสเตอร์ดัมกับต่างประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้ง คริสต์ศตวรรษที่ 20 และ 21ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เนเธอร์แลนด์มีนโยบายเป็นกลาง แม้อัมสเตอร์ดัมจะไม่ถูกโจมตีแต่ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารและเชื้อเพลิงจนเกิดการจลาจลทั่วเมือง มีการบุกปล้นร้านค้าและโกดังหลายแห่งและมีผู้เสียชีวิตหลายรายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หลังเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี ค.ศ. 1916 มีการปรับผังเมืองโดยรวมเอาเมืองดูร์เกร์ดัม โฮลีสโลต ซุนเดร์โดร์ป สเคลลิงเวาเดอ ยอร์ดัน และเฟรเดริก เฮนดริกบูร์ตเข้ากับอัมสเตอร์ดัม[19][20] ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีเยอรมนีบุกยึดเนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 และปกครองประเทศ กวาดต้อนชาวยิวเข้าไปใช้แรงงานที่ค่ายกักกันของนาซีจำนวนกว่า 100,000 คนโดยกว่า 60,000 คนในจำนวนนี้อาศัยอยู่ในอัมสเตอร์ดัม รวมถึง อันเนอ ฟรังค์ หญิงสาวชาวยิวผู้มีชื่อเสียงจากการบันทึกของเธอที่เขียนขึ้นก่อนจะโดนนาซีจับกุมตัวไปและเสียชีวิตที่ค่ายกักกันก่อนสงครามโลกสิ้นสุด[21] หลังสงครามสงบ ระบบโทรคมนาคมยังใช้การไม่ได้ อาหารและเชื้อเพลิงยังขาดแคลน ชาวเมืองหลายคนต้องเดินทางออกสู่ต่างจังหวัดเพื่อหาอาหาร กล่าวกันว่ามีการนำสุนัข แมว หัวผักกาดหวาน หรือแม้แต่หัวดอกทิวลิปมาปรุงอาหารเพื่อความอยู่รอด ต้นไม้ในอัมสเตอร์ดัมถูกโค่นเพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง[22] ย่านโอสโดร์ป สโลเตร์ฟาร์ต สโลเตร์เมร์ และเกอเซ็นเฟลด์ ถูกสร้างขึ้นแถบชานเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง[23] โดยมีสวนสาธารณะและพื้นที่เปิดแทรกอยู่ทั่วไป บ้านเรือนสมัยใหม่ก่อสร้างขึ้น สงครามทำให้เมืองได้รับความเสียหายหนัก สภาพสังคมอัมสเตอร์ดัมจึงเปลี่ยนใหม่ นักการเมืองและผู้มีอำนาจรื้อแผนเมืองขึ้นมาวางระบบใหม่ นำไปสู่การก่อสร้างอาคารสำนักงานที่ทันสมัยจำนวนมาก ตลอดจนถนนสายใหม่[24] รถไฟใต้ดินสายแรกที่เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1977 ตลอดจนมีแผนสร้างทางด่วนพิเศษเชื่อมใจกลางเมืองกับส่วนอื่นของเมือง ย่านที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวยิวถูกรื้อถอนเพื่อสร้างชุมชนใหม่ ขยายการรื้อถอนออกไปเรื่อยๆตามการขยายตัวของเมืองจนบางครั้งนำมาซึ่งความไม่พอใจของชาวเมือง[25] ออกมาประท้วงหลายครั้ง เป็นผลให้แผนการสร้างทางด่วนพิเศษต้องยุบเลิกไป การปรับโครงสร้างเมืองมีความรอบคอบมากขึ้นและค่อยเป็นค่อยไป พื้นที่ใจกลางเมืองโดยเฉพาะภายในเขตคลองทั้งสามชั้นได้รับการอนุรักษ์จนต่อมาได้ขึ้นทะเบียนกลายเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก[26] ช่วงต้นศตวรรษที่ 21 อัมสเตอร์ดัมกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยมีมากถึง 17 ล้านคนต่อปี ราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น[27] มีการสร้างรถไฟใต้ดินส่วนต่อขยายรถไฟใต้ดิน ขยับขยายเมืองออกสู่บริเวณชานเมืองตามแผนการสร้างอัมสเตอร์ดัมรูปแบบใหม่ให้เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 2040[28][29] ภูมิศาสตร์อัมสเตอร์ดัมตั้งอยู่ทางตะวันตกของเนเธอร์แลนด์ในจังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์ แม้จะเป็นเมืองหลวงของประเทศแต่เมืองหลวงของจังหวัดนี้คือฮาร์เลม แม่น้ำอัมสเติลเป็นแม่น้ำหนักที่เริ่มต้นที่ใจกลางเมือง เชื่อมต่อคลองต่างๆและไหลหลงสู่ทะเลสาบไอ อัมสเตอร์ดัมอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 2 เมตร[1] พื้นที่โดยรอบค่อนข้างต่ำ มีป่าเทียมอัมสเตอร์ดัมเซอโบสทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง เชื่อมต่อกับทะเลเหนือผ่านทางคลองทะเลเหนือ อัมสเตอร์ดัมเป็นมหานครที่มีการพัฒนาพื้นที่เมืองสูง มีพื้นที่ 219.4 ตารางกิโลเมตร มีชาวเมืองอาศัยอยู่ 4,457 คนต่อตารางกิโลเมตรและมีบ้าน 2,275 หลังต่อตารางกิโลเมตร[30] มีพื้นที่สีเขียวคิดเป็นร้อยละ 12 ของแผ่นดินอัมสเตอร์ดัม[31] น้ำอัมสเตอร์ดัมมีคลองยาวรวมกันกว่า 100 กิโลเมตร ทำให้สามารถสัญจรได้โดยเรือ คลองหลักสามคลองของเมืองได้แก่ ปรินเซินคราชท์ เฮเรินคราชท์ และเกเซอร์สคราชท์ ไหลผ่านใจกลางของเมือง อัมสเตอร์ดัมในยุคกลางถูกล้อมรอบด้วยคูเมืองที่เรียกว่า ซิงเกล นับเป็นคลองชั้นในสุดของเมือง ทำให้ใจกลางของเมืองมีลักษณะคล้ายเกือกม้า พื้นที่อัมสเตอร์ดัมมีลักษณะเป็นเกาะแก่งด้วยการตัดผ่านของคลอง นับรวมกันได้กว่า 90 เกาะ มีสะพานมากกว่า 1,200 แห่ง[32] ภูมิอากาศอัมสเตอร์ดัมมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทร[33] ได้รับอิทธิพลจากทะเลเหนือทางทิศตะวันตกค่อนข้างมาก ฤดูหนาวมีอากาศเย็นและฤดูร้อยมีอากาศอบอุ่น อุณหภูมิแปรเปลี่ยนตลอดทั้งปี บางครั้งมีหิมะในฤดูหนาวและมีอากาศร้อนอบอ้าวในฤดูร้อน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 838 มิลลิเมตรต่อปี[34] มักเป็นฝนปรอยๆ ช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ตุลาคมจนถึงมีนาคมท้องฟ้ามักปกคลุมด้วยเมฆและหมอก ประชากรการเติบโตของจำนวนประชากรเมื่อปี ค.ศ. 1300 อัมสเตอร์ดัมมีประชากรเพียง 1,000 คน[35] ได้จำนวนได้พุ่งสูงขึ้นมากในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 จากการค้าขายธัญพืชกับสันนิบาตฮันเซอ[36] แต่ยังเล็กกว่าเมืองใหญ่ในฟลานเดอร์สและบราบันต์ ที่อยู่ในกลุ่มประเทศต่ำเช่นกัน[37] แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติต่อต้านการปกครองของสเปนและการเสียแอนต์เวิร์ปให้กับสเปนในปี ค.ศ. 1585 ผู้คนหลั่งไหลมาอยู่ในอัมสเตอร์ดัมทั้งมาจากสเปน โปรตุเกส ยุโรปตะวันออก เยอรมนี และสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะชาวยิว[38] จำนวนประชากรจากปี ค.ศ. 1585 (ราว 41,000 คน) เพิ่มเป็นเท่าตัวในปี ค.ศ. 1610 (ราว 82,000 คน) จนเมื่อสาธารณรัฐได้เอกราช ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คนราว ค.ศ. 1660[39] จนมาคงตัวที่ตัวเลข 240,000 คนตลอดช่วงศตวรรษที่ 18[40] ในปี ค.ศ. 1750 อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรปรองจากลอนดอน ปารีส และเนเปิลส์[41] นับเป็นการขยายตัวของเมืองที่น่าสนใจเพราะอัมสเตอร์ดัมไม่ได้เป็นศูนย์กลางของรัฐบาลและอาณาจักรของเนเธอร์แลนด์ก็มีขนาดเล็กกว่าของอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือจักรวรรดิออตโตมันมาก จำนวนประชากรเริ่มหดตัวในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ลงมาเหลือ 200,000 คนในปี ค.ศ. 1820[42][43] ก่อนที่จะกลับมาเพิ่มสูงอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ประชากรของอัมสเตอร์ดัมแตะ 872,000 คนเมื่อปี ค.ศ. 1959[44] ก่อนจะลดลงมาเล็กน้อยหลังจากที่รัฐบาลสนับสนุนการขยายตัวของเมืองในบริเวณชานเมืองและเมืองรอบข้าง ทำให้ชาวอัมสเตอร์ดัมย้ายออกไปอยู่ปืร์เมอเร็นด์และอัลเมเรอเป็นจำนวนมาก[45][46][47][45] จนกระทั่งปี ค.ศ. 1985 อัมสเตอร์ดัมเหลือประชากร 675,570 คน[48] ก่อนจะมีการปรับโครงสร้างเมืองอีกครั้ง เมืองเติบโตขึ้นและเกิดการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยในอัมสเตอร์ดัมอีกระลอก[49][50] ปัจจุบัน มีผู้อพยพต่างชาติเข้ามาอยู่มากขึ้น จนมีประชากรมากกว่า 872,680 คน ในปี ค.ศ. 2019[51] การอพยพย้ายถิ่นช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 ผู้อพยพย้ายถิ่นมาอยู่อัมสเตอร์ดัมส่วนใหญ่คือชาวอูว์เกอโน ชาวฟลานเดอร์ส ชาวยิวเซฟาร์ดี และชาวแคว้นเว็สท์ฟาเลิน สามกลุ่มแรกเป็นผู้อพยพหนีภัยศาสนา ส่วนชาวเว็สต์ฟาเลินนั้นอพยพเพื่อการค้าขายเป็นหลัก อัมสเตอร์ดัมมีผู้อพยพย้ายเข้ามาอยู่เรื่อยมาในศตวรรษที่ 18 และ 19 ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะมีการกวาดต้อนชาวยิวไปใช้แรงงานและสังหารหมู่ที่ค่ายกักกันโดยนาซีเยอรมนี คิดเป็นราวๆร้อยละ 10 ของประชากรทั้งเมือง[52] ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกิดการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ครั้งแรกเมื่อหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ประกาศเอกราชกลายเป็นประเทศอินโดนีเซียราวๆทศวรรษที่ 1940 และ 1940 จากนั้นในทศวรรษที่ 1960 มีแรงงานอพยพจากตุรกี โมร็อกโก อิตาลี และสเปนย้ายเข้ามาหางานทำในอัมสเตอร์ดัม ต่อด้วยการอพยพหลังการประกาศเอกราชของประเทศซูรินามที่ผู้อพยพย้ายเข้ามาอาศัยในแถบไบล์เมอร์ นอกจากนี้ยังผู้ลี้ภัยและผู้หลบหนีเข้าเมืองจากยุโรป อเมริกา เอเชีย และแอฟริกา ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้น ทำให้ชาวอัมสเตอร์ดัมที่อยู่มาก่อนเริ่มอพยพไปยังเมืองใหม่ที่รัฐบาลส่งเสริมให้ย้ายมาอยู่อย่างปืร์เมอเร็นด์และอัลเมเรอในช่วงทศวรรษที่ 1970 ถึง 1980 กลุ่มคนทำงานและศิลปินจึงย้ายเข้าไปอยู่ยังย่านเดอไปป์และยอร์ดันที่เป็นแหล่งที่อยู่เก่าของกลุ่มผู้ย้ายออก ผู้อพยพที่ไม่ใช่ชาวตะวันตกมักอาศัยอยู่ตามอาคารเคหะที่รัฐบาลจัดหาให้ซึ่งอยู่ที่ย่านตะวันตกและย่านไบล์เมอร์ ปัจจุบันชาวอัมสเตอร์ดัมที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อสายอื่นๆที่ไม่ใช่ชาวตะวันตกมีมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด[53][54][55] ในขณะเดียวกัน เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่มีพ่อแม่เป็นชาวดัตช์ดั้งเดิมมีเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น[56] ผู้มีเชื้อสายต่างชาติส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในย่านนิวเว็สท์ เซบืร์ค ไบล์เมอร์ และบางส่วนของอัมสเตอร์ดัมโนร์ด[57][58] ปัจจุบัน ชาวเมืองอัมสเตอร์ดัมมาจาก 180 ประเทศ[59] เป็นหนึ่งในเมืองที่มีสัญชาติของประชากรหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[60] ทิวทัศน์และสถาปัตยกรรมลักษณะของอัมสเตอร์ดัมเป็นเหมือนเมืองที่กระจายตัวออกเป็นพัดโบราณโดยมีจุดกึ่งกลางอยู่ที่สถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัมเซ็นทราลและถนนดัมรัก บริเวณเมืองเก่าคือย่านที่เรียกว่า เดอวัลเลิน (หมายถึง ท่าเรือ) โดยอยู่ทางตะวันออกของถนนดัมรักและมีย่านเรดไลท์ซ่อนอยู่ ทางตอนใต้ของเดอวัลเลินเคยเป็นชุมชนของชาวยิวที่เรียกว่า วาเตอร์โลเพลน อัมสเตอร์ดัมเมืองเก่าถูกล้อมรอบด้วยคลองสามชั้น ถัดออกไปเป็นย่านยอร์ดันและเดอไปป์ที่เคยเป็นย่านกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ทางใต้มีมิวเซียมเพลนที่มีพิพิธภัณฑ์สำคัญตั้งเรียงรายและโฟนเดิลปาร์กที่กว้างใหญ่ ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติกับโยสต์ ฟันเดนโฟนเดิล พื้นที่หลายเขตของอัมสเตอร์ดัมเคยเป็นผืนน้ำมาก่อนและถูกผันน้ำออกเพื่อสร้างเป็นผืนดินการเกษตร สังเกตได้จากการมีคำว่า "เมร์" (meer) ต่อท้ายชื่อ ซึ่งหมายถึง ทะเลสาบ นั่นเอง คลองระบบคลองในอัมสเตอร์ดัมเกิดจากการวางผังเมืองที่มีแบบแผนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17[61] พื้นที่ภายในคูคลองทั้งสามชั้นเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวเมือง คลองทั้งสามได้แก่ เฮเรินคราชท์ (คลองของลอร์ดผู้ปกครองอัมสเตอร์ดัม) เกเซอร์สคราชท์ (คลองของจักรพรรดิ) และปรินเซินคราชท์ (คลองของเจ้าชาย)[62] นอกจากนี้ยังมีคลองชั้นที่สี่ที่เป็นเหมือนการเรียกรวมๆคลองรอบนอกว่า ซิงเกลคราชท์ (แต่ไม่ใช่คลองซิงเกลที่เป็นคลองดั้งเดิมที่อยู่ใจกลางเมือง) คลองทำหน้าที่เป็นด่านปราการ ระบบจัดการน้ำ และเส้นทางขนส่งของชาวเมือง มีการสร้างคันดินและเขื่อนดินบริเวณจุดสำคัญของเมืองพร้อมด้วยประตู[63] เริ่มการขุดคลองเมื่อปี ค.ศ. 1613 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1656 และมีการสร้างอาคารที่อยู่อาศัยเรื่อยมา แต่เดิมมีการวางแผนให้ขุดคลองทางตะวันออกเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมกับแม่น้ำอัมสเติลและอ่าวไอแต่ได้ล้มเลิกแผนไป อย่างไรก็ตาม ในช่งปลายปีที่ผ่านมามีการถมคลองและก่อสร้างขึ้นเป็นถนนและจัตุรัสต่างๆ เช่นที่นิวเวอไซด์สโฟร์บูร์กวัล และ สเปา[64] การขยายเมืองหลังจากมีการพัฒนาระบบคลองในศตวรรษที่ 17 การพัฒนาเมืองของอัมสเตอร์ดัมไม่เคยเกินรัศมีของของคลองเป็นเวลาเกือบสองศตวรรษ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซามูเอล ซาร์ปาตี นักวางผังเมืองได้วางผังของอัมสเตอร์ดัมใหม่โดยดูแบบของปารีสและลอนดอนเป็นหลัก ผังเมืองใหม่ส่งเสริมให้มีการสร้างบ้านเรือน อาคาร และถนนนอกอาณาเขตคลองสามชั้นของอัมสเตอร์ดัมเพื่อพัฒนาสุขอนามัยของชาวเมือง แม้แผนจะไม่ได้ทำให้เมืองเติบโตเท่าไหร่นักแต่ได้มีการสร้างอาคารสาธารณะขนาดใหญ่บริเวณรอบนอก เช่นอาคารปาเลสโฟร์โฟล์กสไฟลท์ (Paleis voor Volksvlijt) อันเป็นหอแสดงสินค้าขนาดใหญ่ที่ถูกไฟไหม้เมื่อปี ค.ศ. 1929[65][66][67] ต่อมา อัมสเตอร์ดัมได้ว่าจ้าง ยาโคบุส ฟันนิฟตริก และยัน กาล์ฟฟ์ ออกแบบบริเวณพื้นที่วงแหวนรอบนอกรอบอัมสเตอร์ดัม พื้นที่เหล่านี้กลายมาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้ใช้แรงงานในเวลาต่อมา[68] หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการสร้างเมืองใหม่ทางตะวันตก ทางตะวันออกเฉียงใต้ และทางเหนือของอัมสเตอร์ดัมเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยของชาวเมือง ให้คนมีบ้านในงบประมาณที่เข้าถึงได้ ย่านที่อยู่อาศัยเหล่านี้มักเป็นอาคารชุด มีพื้นที่สีเขียวอยู่ตรงกลางชุมชน เชื่อมต่อด้วยถนนกว้าง สัญจรด้วยรถยนต์สะดวก สถาปัตยกรรมสถาปัตยกรรมในอัมสเตอร์ดัมมีประวัติศาสตร์ยาวนาน อาคารที่เก่าแก่ที่สุดคือเอาเดอแกร็ก (โบสถ์เก่า) ใจกลางย่านเดอวัลเลิน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1306 ส่วนอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดคือ เฮ็ทเฮาเติเฮยส์ (Het Houten Huys) ใกลักับย่านเบไคน์โฮฟ[69] ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1425 และเป็นหนึ่งในสองอาคารไม้ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันและมีสถาปัตยกรรมแบบกอทิก ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีการรื้อถอนอาคารไม้และสร้างอาคารอิฐแทนที่ มีการก่อสร้างตึกในรูปสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีจุดเด่นอยู่ที่หน้าจั่วของหลังคาที่เป็นแบบขั้นบันได สถาปนิกที่โด่งดังในยุคนี้คือเฮนดริก เดอเกย์เซอร์ ผู้ออกแบบเว็สเตอร์แกร็ก (โบสถ์ตะวันตก)[70] จากนั้นในศตวรรษที่ 17 สถาปัตยกรรมบาโรกได้รับความนิยมทั่วยุโรป ประจวบเหมาะกับช่วงเวลายุคทองของเนเธอร์แลนด์ที่ชาวดัตช์มั่งคั่งไปด้วยการค้า สถาปัตยกรรมที่เน้นความโอ่งโถงหรูหรานี้จึงได้รับเสียงตอบรับดีจากชาวเมืองอัมสเตอร์ดัม สถาปนิกที่โดดเด่นในยุคนี้ได้แก ยาค็อบ ฟันคัมเพิน ฟิลิปส์ ฟิงโบนส์ และดาเนียล สตัลแปร์ต[71] นอกจากฟิลิปส์ ฟิงโบนส์จะออกแบบบ้านให้กับพ่อค้าผู้มั่งคั่งแล้วยังเป็นผู้ออกแบบอาคารสำคัญในอัมสเตอร์ดัมอีกมากมาย เช่น พระราชวังหลวงที่ดัมสแควร์ใจกลางเมือง ต่อมาในศตวรรษที่ 18 สถาปัตยกรรมของเนเธอร์แลนด์ได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศสค่อนข้างมาก ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 หลังเนเธอร์แลนด์ได้รับเอกราชต่อการปกครองของจักรวรรดิฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมก็เปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ (นีโอ)[72] อาคารโกทิกกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในรูปแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก ก่อนที่ศิลปะแบบอาร์นูโว ที่เน้นรูปแบบธรรมชาติจะได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 19 อันเป็นช่วงเวลาที่อัมสเตอร์ดัมขยายเมืองอย่างรวดเร็ว อาคารสมัยใหม่จึงมีสถาปัตยกรรมแบบนี้ เช่น บ้านเรือนแถบมิวเซียมเพลน จากนั้น สถาปัตยกรรมแบบอาร์ตเดโคที่เน้นการผสนผสานศิลปะหลากหลายรูปแบบ มีความเป็นสมัยใหม่และมีประโยชน์ทางการใช้สอย เข้ามามีบทบาทในการสร้างอาคารสมัยใหม่ในอัมสเตอร์ดัม มีการพัฒนารูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เรียกว่า โรงเรียนอัมสเตอร์ดัม (Amsterdamse School) ซึ่งเน้นโครงสร้างอิฐ มีการตกแต่งที่เด่นชัด และบางครั้งมีหน้าต่างและประตูรูปทรงแปลก โดยรวมแล้ว อาคารสมัยเก่ามักกระจุกรวมอยู่ที่บริเวณใจกลางเมือง ส่วนเมืองใหม่ที่สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 นั้นจะกระจายอยู่รอบนอก สวนสาธารณะอัมสเตอร์ดัมมีสวนสาธารณะ พื้นที่สีเขียว และจัตุรัสอยู่ทั่วเมือง โฟนเดิลปาร์กเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดของเมืองโดยตั้งอยู่ทางใต้ ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติกับโยสต์ ฟันเดนโฟนเดิล กวีผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 17 มีผู้เยี่ยมชมกว่า 10 ล้านคนต่อปี ภายในสวนยังมีโรงละครกลางแจ้ง นอกจากนี้ ทางใต้ของอัมสเตอร์ดัมยังมีสวนเบียทริกซ์ปาร์ก ที่ตั้งชื่อเพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ มีการปลูกป่าอัมสเตอร์ดัมเซอโบสทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง เป็นพื้นที่นันทนาการที่ใหญ่ที่สุดของอัมสเตอร์ดัม มีขนาดราวๆ 3 เท่าของเซ็นทรัลปาร์กในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา[73] เศรษฐกิจอัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองหลวงทางการเงินและธุรกิจของเนเธอร์แลนด์[74] ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองธุรกิจระหว่างประเทศอันดับที่ 5 ของยุโรปรองจากลอนดอน ปารีส แฟรงก์เฟิร์ต และบาร์เซโลนา[75] บริษัทขนาดใหญ่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อัมสเตอร์ดัม เช่น อักโซโนเบิล ไฮเนอเกิน ไอเอ็นจี อาเบเอ็นอัมโร โตมโตม เดลตาลอยด์ บุคกิงดอตคอม และฟิลิปส์ บริษัทข้ามชาติหลายแห่งเลือกที่จะตั้งสำนักงานอยู่รอบนอกอัมสเตอร์ดัมเพราะเมืองรอบข้างอนุญาตให้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแบบเต็มรูปแบบ ส่วนอัมสเตอร์ดัมนั้นอนุญาตเพียงการให้เช่าที่ดินเท่านั้น ย่านเซาดัสทางตอนใต้ของอัมสเตอร์ดัมเป็นแหล่งศูนย์กลางด้านการเงินแห่งใหม่ มีบริษัทให้คำปรึกษาทางธุรกิจหลายแห่งตั้งสำนักงานที่นี่[76] เช่น บอสตันคอนซัลติงกรุ๊ปและแอกเซนเจอร์ และยังมีย่านการเงินขนาดเล็กกว่าตั้งอยู่ในย่านใกล้สถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัมสโลเทอร์ไดก์ ย่านใกล้สนามกีฬาโยฮัน ไกรฟฟ์อาเรนา และย่านใกล้สถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัมอัมสเติลที่มีอาคารแร็มบรันด์ สำนักงานใหญ่ของฟิลิปส์ตั้งอยู่[77][78] ท่าเรือและท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัมท่าเรืออัมสเตอร์ดัมเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรปและอันดับ 38 ของโลกเมื่อวัดตามจำนวนบรรทุกในเมตริกตัน มีการขนส่งสินค้า 97.4 ล้านตันในปี ค.ศ. 2014 มีเรือสำราญเข้าจอดกว่า 150 ลำต่อปี ส่วนท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัมสคิปโฮลเป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ทีสุดของประเทศ เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจเนเธอร์แลนด์ การท่องเที่ยวอัมสเตอร์ดัมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของยุโรป มีนักท่องเที่ยวกว่า 4.63 ล้านคนต่อปี[80] (โดยไม่นับรวมนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมเพียงรายวัน) จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โรงแรม 2 ใน 3 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง โรงแรมระดับ 4-5 ดาวมีจำนวนเตียงราวร้อยละ 42 ของจำนวนเตียงทั้งหมด อัตราการเข้าพักอยู่ที่ร้อยละ 85 ในปี ค.ศ. 2017[81] [82] นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากยุโรป (ร้อยละ 74) และสหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 14)[83] ย่านเดอวัลเลินเป็นย่านที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว นอกจากจะเป็นเมืองเก่าแล้วยังเป็นย่านที่มีแหล่งค้าประเวณีที่ถูกกฎหมายในเนเธอร์แลนด์อันรู้จักในชื่อเรดไลท์ อัมสเตอร์ดัมมีแหล่งจับจ่ายซื้อสินค้าปลีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นถนนกัลเฟอร์สตราต ที่เป็นย่านการค้ามาตั้งแต่ยุคกลาง ถนนเนเคินสตราตเจอส์ (แปลว่า เก้าซอย) ถนนฮาร์เลมเมร์ไดก์ และถนนฮาร์เลมเมร์สตราต นอกจากนี้ยังมีตลาดกลางแจ้งอีกหลายแห่งที่จะคึกคักเป็นพิเศษในวันหยุดสุดสัปดาห์ อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
|