Share to: share facebook share twitter share wa share telegram print page

 

ฟุตบอลทีมชาติสวีเดน

สวีเดน
Shirt badge/Association crest
ฉายาBlågult (น้ำเงิน-เหลือง)
ไวกิ้ง (ฉายาในภาษาไทย)[1]
สมาคมสมาคมฟุตบอลสวีเดน
สมาพันธ์ยูฟ่า (ยุโรป)
หัวหน้าผู้ฝึกสอนยอน ดาห์ล โทมัสสัน
กัปตันวิกตอร์ ลินเดอเลิฟ
ติดทีมชาติสูงสุดแอนเดอร์ สเวนส์สัน (148)
ทำประตูสูงสุดซลาตัน อิบราฮิโมวิช (62)
สนามเหย้าราซุนดา สเตเดียม
รหัสฟีฟ่าSWE
อันดับฟีฟ่า
อันดับปัจจุบัน 27 Steady (19 ธันวาคม 2024)[2]
อันดับสูงสุด2 (พฤศจิกายน 1994)
อันดับต่ำสุด43 (กุมภาพันธ์ 2010)
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
ประเทศสวีเดน สวีเดน 11–3 นอร์เวย์ ธงชาติประเทศนอร์เวย์
(โกเตนบอร์ก, สวีเดน; 12 กรกฎาคม 1908)
ชนะสูงสุด
ประเทศสวีเดน สวีเดน 12–0 ลัตเวีย ธงชาติประเทศลัตเวีย
(สต็อกโฮล์ม, สวีเดน; 29 พฤษภาคม 1927)
ประเทศสวีเดน สวีเดน 12–0 เกาหลีใต้ ธงชาติเกาหลีใต้
(ลอนดอน, อังกฤษ; 5 สิงหาคม 1948)
แพ้สูงสุด
สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ 12–1 สวีเดน ประเทศสวีเดน
(ลอนดอน, อังกฤษ; 20 ตุลาคม 1908)
ฟุตบอลโลก
เข้าร่วม11 (ครั้งแรกใน 1934)
ผลงานดีที่สุดรองชนะเลิศ, 1958
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
เข้าร่วม4 (ครั้งแรกใน 1992)
ผลงานดีที่สุดรอบรองชนะเลิศ, 1992
สถิติเหรียญโอลิมปิก
Men's Football
เหรียญทอง - ชนะเลิศ 1948 ลอนดอน Team
เหรียญทองแดง - อันดับที่ 3 1924 ปารีส Team
เหรียญทองแดง - อันดับที่ 3 1952 เฮลซิงกิ Team

ฟุตบอลชายทีมชาติสวีเดน (สวีเดน: Sverige herrlandslag i fotboll) เป็นฟุตบอลทีมชาติจากราชอาณาจักรสวีเดน ภายใต้การดูแลของสมาคมฟุตบอลสวีเดน หน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลฟุตบอลในประเทศสวีเดน มีสนามเหย้าคือเฟรนด์ส อารีน่าในสต็อกโฮล์ม ผู้ฝึกสอนคนปัจจุบันคือยอน ดาห์ล โทมัสซ็อน สวีเดนเป็นหนึ่งในทีมที่มีผลงานโดดเด่นในทวีปยุโรป โดยเฉพาะตั้งแต่ทศวรรษ 1940 ถึงปลายทศวรรษ 1950 พวกเขาได้รับการยอมรับเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีป[3]

สวีเดนลงแข่งขันฟุตบอลโลก 12 ครั้ง ครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1934 มีผลงานดีที่สุดคือตำแหน่งรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1958 ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าภาพและแพ้บราซิลในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้สวีเดนกลายเป็นเจ้าภาพทีมเดียวที่แพ้ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก สวีเดนคว้าอันดับสามอีกสองครั้งในฟุตบอลโลก 1950 และฟุตบอลโลก 1994 พวกเขามีส่วนร่วมในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 6 ครั้ง ผลงานดีที่สุดคือรอบรองชนะเลิศ ค.ศ. 1992 ในฐานะเจ้าภาพ สวีเดนประสบความสำเร็จในกีฬาโอลิมปิก โดยคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 และเหรียญทองแดงอีกสองครั้งใน ค.ศ. 1924 และ ค.ศ. 1952

ประวัติ

ยุคแรก

ทีมชาติสวีเดนใน ค.ศ. 1911 สามปีหลังจากลงแข่งขันนัดแรก

สวีเดนลงแข่งขันทางการครั้งแรกกับนอร์เวย์วันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1908 และชนะไปอย่างขาดลอย 11–3 ณ เมืองกอเทนเบิร์ก[4] และมีการแข่งขันอย่างต่อเนื่องใน ค.ศ. 1908 พบกับอังกฤษ, สหราชอาณาจักร, เนเธอร์แลนด์ (2 ครั้ง) และเบลเยียม ผลปรากฏว่าสวีเดนแพ้ทั้ง 5 นัด ในปีนั้นพวกเขาลงแข่งขันโอลิมฤดูร้อนเป็นครั้งแรก และแพ้สหราชอาณาจักรไปถึง 1–12 นับเป็นความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับที่สุดของสวีเดนมาถึงปัจจุบัน ต่อมาใน ค.ศ. 1916 สวีเดนเอาชนะคู่ปรับอย่างเดนมาร์กได้เป็นครั้งแรก และพวกเขาเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 1912 และมีส่วนร่วมในปี 1920 และ 1924 ซึ่งพวกเขาคว้าเหรียญทองแดง ฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเขาเกิดขึ้นในปี 1934 ที่ประเทศอิตาลี แม้จะเอาชนะอาร์เจนตินาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 2–1 แต่ต้องยุติเส้นทางในรอบต่อมาโดยแพ้เยอรมนีด้วยสกอร์เดียวกัน

ฟุตบอลโลก 1938 ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่สวีเดนได้ลงแข่งขัน โดยในรอบแรกนั้นพวกเขามีกำหนดลงแข่งกับออสเตรีย ทว่าสืบเนื่องจากเหตุการณ์อันชลุส หรือการยึดครองออสเตรียโดยเยอรมนีส่งผลให้ออสเตรียไม่สามารถส่งทีมลงแข่งขันได้ ทำให้สวีเดนผ่านเข้าสู่รอบต่อไปทันที และเอาชนะคิวบา 8–0 โดยสองผู้เล่นอย่าง แฮร์รี แอนเดอร์ซ็อน และ คาร์ล กุสตาฟ เวตเทอร์สตรอมทำแฮตทริกได้ แต่พวกเขาแพ้ฮังการีในรอบรองชนะเลิศ 1–5 และแพ้บราซิลในการแข่งขันชิงอันดับสาม 2–4 ถือเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่พวกเขาคว้าอันดับ 4 ในฟุตบอลโลก และเป็นผลงานดีที่สุดในขณะนั้น

ยุคทอง

ผู้เล่นชุดที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกฤดูร้อน 1948

ในโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 สวีเดนแข่งขันกับออสเตรียซึ่งส่งทีมลงแข่งขันโดยปราศจากผู้เล่นอาชีพอย่างน่าประหลาดใจ เนื่องจากในเวลานั้นประเทศออสเตรียเต็มไปด้วยผู้เล่นอาชีพที่ได้รับอนุญาตให้ลงแข่ง การแข่งขันมีขึ้นที่สนามไวต์ฮาร์ตเลน กรุงลอนดอน และสวีเดนชนะ 3–0 ตามด้วยการเอาชนะเกาหลีใต้ 12–0 นับเป็นชัยชนะที่มากที่สุดของสวีเดนมาถึงปัจจุบัน ตามด้วยการเอาชนะคู่ปรับอย่างเดนมาร์กในรอบรองชนะเลิศ 4–2

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจัดขึ้นที่สนามกีฬาเวมบลีย์ (1923) ด้วยจำนวนผู้ชมกว่า 40,000 คนซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากในยุคนั้น สวีเดนเอาชนะยูโกสลาเวีย 3–1 ด้วยประตูจากกันนาร์ เกร็น (นาทีที่ 24 และ 67) และนักเตะตำนานอย่างกุนนาร์ นอร์ดาห์ล (นาทีที่ 48) คว้าเหรียญทองครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และเป็นครั้งแรกที่ทีมฟุตบอลชายของสวีเดนชนะเลิศรายการระดับทางการ

สืบเนื่องจากปัญหาบางประการ สมาคมฟุตบอลสวีเดนไม่อนุญาตให้ผู้เล่นอาชีพลงแข่งขันฟุตบอลโลก 1950 ทีมชุดนั้นจึงต้องใช้ผู้เล่นสมัครเล่น โดยพวกเขาเป็นหนึ่งในหกทีมจากยุโรปที่ร่วมแข่งขัน และอยู่ร่วมกลุ่มกับอิตาลี และปารากวัย (อินเดียถอนตัวจากการแข่งขัน) สวีเดนเอาชนะอิตาลี 3–2 ที่เซาเปาลู และเสมอปารากวัย 2–2 ในนัดต่อมา เข้ารอบแบ่งกลุ่มรอบต่อไปในฐานะทีมอันดับ 1 เข้าไปพบกับเจ้าภาพอย่างบราซิล ณ สนามกีฬามารากานัง โดยมีผู้ชมมากถึง 138,000 คนนับเป็นสถิติจำนวนผู้ชมสูงที่สุดที่สวีเดนลงแข่งมาถึงปัจจุบัน เกมลงด้วยชัยชนะของบราซิลอย่างขาดลอย 7–1 แฟนบอลบราซิลในสนามฉลองด้วยการโบกผ้าพันคอไปมาคล้ายการโบกมืออำลาเพื่อเป็นการล้อเลียนสวีเดน ต่อมา พวกเขาแพ้อุรุกวัย 2–3 ทำให้หมดสิทธิ์ผ่านเข้าไปลุ้นเหรียญทองแน่นอนแล้ว แม้จะเอาชนะสเปนในนัดสุดท้าย 3–1 พวกเขาจบอันดับสามของกลุ่มและได้รับเหรียญรางวัลทีมจากยุโรปที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ และได้รับการยกย่องจากสื่อให้เป็น "ทีมแชมป์ยุโรป อย่างไม่เป็นทางการ"

ต่อมา สวีเดนลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1952 ที่เฮลซิงกิ และยังทำผลงานดีต่อเนื่องด้วยการคว้าเหรียญทองแดงเป็นครั้งที่สอง ในปีต่อมา สมาคมฟุตบอลมีมติห้ามผู้เล่นต่างชาติลงแข่งขันในนามทีมชาติสวีเดน และพวกเขาล้มเหลวในฟุตบอลโลก 1954 โดยตกรอบแบ่งกลุ่มในรอบคัดเลือก ต่อมาใน ค.ศ. 1956 สมาคมฟุตบอลอนุญาตให้นักฟุตบอลอาชีพกลับมาลงแข่งขันให้ทีมชาติชุดใหญ่อีกครั้ง ทำให้แฟน ๆ มีความคาดหวังในฟุตบอลโลก 1958 ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าภาพครั้งแรก ครั้งนี้อยู่ร่วมกลุ่มกับเม็กซิโก, ฮังการี และเวลส์

สวีเดนประเดิมด้วยการเอาชนะเม็กซิโก 3–0 จากสองประตูโดยอากนี ซีมอนส์ซ็อน และจุดโทษของนีลส์ ลีดโฮล์ม ตามด้วยการชนะฮังการี 2–1 จากประตูของเคิร์ต ฮัมริน และเสมอในนัดสุดท้ายกับเวลส์โดยไม่มีประตู เข้ารอบเป็นทีมอันดับ 1 เอาชนะสหภาพโซเวียตได้ 2–0 ตามด้วยการเอาชนะทีมแกร่งอย่างเยอรมนีตะวันตกในรอบรองชนะเลิศ 3–1 แม้จะเสียประตูไปก่อน ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรก แต่แพ้บราซิลซึ่งนำโดยตำนานอย่างเปเล่ ด้วยผลประตู 2–5 แม้จะออกนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 4 จากลีดโฮล์ม แม้จะแพ้ แต่ทีมชุดนั้นได้รับการยกย่องจากแฟนบอลในประเทศ และในทวีปยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ และนับว่าเป็นผลงานในรายการใหญ่ที่ดีที่สุดของสวีเดนมาถึงปัจจุบัน โดยหลังจบเกมผู้เล่นบราซิลยกย่องเจ้าภาพอย่างสวีเดนด้วยการถือธงชาติสวีเดนวิ่งรอบสนาม

ทศวรรษ 1960–1970

ทีมชาติสวีเดนในช่วงต้นทศวรรษ 1960

เมื่อสิ้นสุดยุคแห่งความสำเร็จซึ่งกินเวลาเกือบสองทศวรรษ สวีเดนก็มีผลงานที่ย่ำแย่ลงเล็กน้อย ในรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 1962 สวีเดนชนะในรอบคัดเลือกรอบกลุ่มได้อย่างน่าประทับใจ (ทำได้ 10 ประตู และเสียเพียง 3 ประตู) แต่ก็ยังต้องไปลุ้นนัดเพลย์ออฟกับสวิตเซอร์แลนด์จึงจะผ่านเข้ารอบ เกมนี้เล่นที่เบอร์ลินตะวันตก และสวิตเซอร์แลนด์ชนะ 2–1

สวีเดนมีผลงานที่ดีในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1964 พวกเขาเอาชนะนอร์เวย์ได้ในนัดแรกและเสมอกันในนัดที่สอง ตามด้วยชนะยูโกสลาเวียในรอบต่อมา 3–2 พวกเขายุติเส้นทางในรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยการแพ้สหภาพโซเวียต ต่อมา ในฟุตบอลโลก 1966 รอบคัดเลือก สวีเดนเริ่มต้นด้วยการเสมอเยอรมนีตะวันตก และชนะไซปรัส 3–0 แต่ต้องตกรอบด้วยการแพ้เยอรมนีในรอบสุดท้าย และสวีเดนตกรอบคัดเลือกรอบที่ 2 ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1968 ความสำเร็จในช่วงเวลานี้ มีเพียงการผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 1970 หลังจากผ่านรอบคัดเลือกด้วยการชนะนอร์เวย์และฝรั่งเศส แต่พวกเขาไม่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มโดยจบอันดับสาม และมีผลงานการพบกันที่เป็นรองอุรุกวัย

ในฟุตบอลโลก 1974 รอบคัดเลือก สวีเดนอยู่ร่วมกับออสเตรีย, ฮังการี และมอลตา ชัยชนะที่มีต่อออสเตรียท่ามกลางสภาพอากาศที่หิมะตกอย่างหนักในเก็ลเซินเคียร์เชินเป็นหนึ่งในชัยชนะที่เป็นที่จดจำในแง่ของความคลาสสิกในเกมนี้ และในการแข่งขับรอบสุดท้าย ทีมได้เปิดตัวเพลงเชียร๋ "Vi är svenska fotbollsgrabbar" แต่งโดยจอร์จ อีริคซ็อน สวีเดนอยู่ร่วมกลุ่มกับเนเธอร์แลนด์, บัลแกเรีย และอุรุกวัย เข้ารอบในฐานะทีมอันดับสองด้วยผลงาน ชนะ 1 และเสมอ 2 นัด แต่พวกเขายุติเส้นทางไว้ที่รอบแบ่งกลุ่มรอบที่ 2 โดยแพ้โปแลนด์ 0–1, แพ้เยอรมนีตะวันตก 2–4 แม้จะเอาชนะยูโกสลาเวียในนัดสุดท้าย 2–1 จบการแข่งขันด้วยการได้อันดับ 5 พวกเขาไม่ผ่านรอบคัดเลือกเพื่อแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1976 สวีเดนทำผลงานย่ำแย่ในฟุตบอลโลก 1978 ด้วยการจบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม 3 แม้จะเสมอทีมแกร่งอย่างบราซิลในนัดแรก 1–1 ในนัดต่อมาพวกเขาแพ้ต่อออสเตรีย 0–1 ปิดท้ายด้วยด้วยการแพ้สเปนด้วยสกอร์เดียวกัน อย่างไรก็ตาม รายการนี้สวีเดนส่งผู้เล่นหน้าใหม่ที่อายุน้อยลงแข่งหลายคน แม้จะยังมีผู้เล่นมากประสบการณ์จากรายการก่อน ๆ

ตกต่ำในทศวรรษ 1980

สวีเดนมีการเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกสอนจากจอร์จ อีริคซ็อน เป็นลาร์ อาร์เนสซ็อนซึ่งประสบความสำเร็จจากการคุมทีม Östers Idrottsförening พวกเขาไม่ผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1980 จากการชนะลักเซมเบิร์กได้แค่นัดเดียว โดยมีเพื่อนร่วมกลุ่มคือฝรั่งเศส และยูโกสลาเวีย และไม่ผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1982 จบในอันดับสามตามหลังสกอตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือ ก่อนที่ในปีต่อมาพวกเขาจะลงแข่งกระชับมิตรและเสมอบราซิล 3–3 ที่กอเทนเบิร์ก สวีเดนยังมีผลงานย่ำแย่ต่อเนื่อง โดยไม่ผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1984 แม้จะคว้าชัยชนะที่สำคัญที่สุดนัดหนึ่งในรอบหลายทศวรรษด้วยการเอาชนะแชมป์โลกอย่างอิตาลีที่เนเปิลส์ 3–0 จากสองประตูโดยเกล็นน์ สตรอมแบร์ย แต่พวกเขาแพ้ทั้งสองนัดต่อโรมาเนีย รวมทั้งตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1986 โอลเล นอร์ดิน เข้ามาคุมทีมต่อ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1988 นับได้ว่าเป็นทศวรรษแห่งความล้มเหลวของสวีเดนอย่างแท้จริง

ทศวรรษ 1990

สวีเดนผ่านรอบคัดเลือกด้วยการมีคะแนนเหนืออังกฤษ ส่งผลให้พวกเขาได้ลงแข่งขันฟุตบอลโลก 1990 เป็นการกลับมาลงแข่งครั้งแรกในรอบ 12 ปีแต่ฟุตบอลโลกในครั้งนี้ของพวกเขาก็จบลงอย่างรวดเร็วด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่มจากการแพ้สามนัดรวดต่อบราซิล, สกอตแลนด์ และคอสตาริกาด้วยผลประตู 1–2 ทุกนัด[5] ส่งผลให้สวีเดนมีการเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกสอนอีกครั้งโดยทอมมี สเวนส์ซ็อน เข้ามาคุมทีม

สวีเดนลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 เป็นครั้งแรก พวกเขาเข้ารอบในฐานะอันดับ 1 ของกลุ่มแม้อยู่ร่วมกับทีมแกร่งอย่างอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเดนมาร์ก มีผลงานชนะ 2 และเสมอ 1 นัด แต่ต้องยุติเส้นทางในรอบรองชนะเลิศโดยแพ้เยอรมนี 2–3 แม้จะเป็นการลงแข่งขันรายการนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดในรายการนี้ของสวีเดนมาถึงปัจจุบัน สวีเดนผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1994 ในฐานะอันดับ 1 อีกครั้ง และในรอบแบ่งกลุุ่มพวกเขาอยู่กับบราซิล, รัสเซีย และแคเมอรูน มีผลงานชนะ 1 และเสมอ 2 นัด ตามด้วยการชนะซาอุดีอาระเบียในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 3–1 นัดนี้ต้องแข่งขันกันท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนจัดกว่า 40 องศาในเวลา 16 นาฬิกา 30 นาทีตามเวลาท้องถิ่นที่แดลลัส รัฐเท็กซัส

ต่อมา การแข่งขันระหว่างสวีเดนและโรมาเนียในซานฟรานซิสโกถือเป็นหนึ่งในการแข่งขันในความทรงจำของแฟน ๆ เมื่อเกมดำเนินไปอย่างสูสีและแม้สวีเดนจะออกนำในช่วงท้ายเกมแต่ก็โดนประตูตีเสมอในนาทีสุดท้าย และโรมาเนียขึ้นนำอีกครั้งในนาทีที่ 101 แต่สวีเดนก็ตีเสมอในอีกห้านาทีต่อมา ส่งผลให้ต้องดวลจุดโทษตัดสินและสวีเดนเป็นฝ่ายชนะ แต่พวกเขาแพ้บราซิลในรอบรองชนะเลิศ 0–1 แต่สวีเดนยังมีผลงานยอดเยี่ยมในครั้งนี้ด้วยการชนะบัลแกเรียในนัดชิงอันดับสามด้วยผลประตู 4–0 โดยทำได้ทั้ง 4 ประตูในครึ่งแรก ผู้เล่นอย่างเคนเนต แอนเดอรส์ซ็อน ยังทำไปถึง 5 ประตู เป็นผู้ทำประตูสูงสุดอันดับสองในครั้งนี้ สวีเดนยังกลายเป็นทีมที่ทำประตูมากที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้จำนวน 15 ประตู และหลังจบการแข่งขัน สวีเดนขึ้นถึงอันดับสองของโลกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1994 แม้จะอยู่ในอันดับนี้เพียงหนึ่งเดือน แต่ก็นับเป็นอันดับสูงสุดถึงปัจจุบัน[6][7] สวีเดนกลับมามีผลงานย่ำแย่อีกครั้ง โดยไม่ผ่านรอบคัดเลือกเข้าสู่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996 ที่อังกฤษรวมถึงฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส

ทศวรรษ 2000

เฮ็นริก ลอซ็อน ขณะยิงลูกฟรีคิกในนัดที่พบกับเนเธอร์แลนด์ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004
ทีมชาติสวีเดนในฟุตบอลโลก 2006

แม้สวีเดนจะมีส่วนร่วมในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 แต่พวกเขาต้องตกรอบแบ่งกลุ่มอีกครั้ง โดยแพ้เบลเยียมในนัดแรก 1–2 ตามด้วยการเสมอตุรกี 0–0 และแพ้อิตาลีในนัดสุดท้าย 1–2 จบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม โดยมีอิตาลีเป็นอันดับ 1 และตุรกีเป็นทีมอันดับ 2 ต่อมาในฟุตบอลโลก 2002 สวีเดนอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมแกร่งอย่างอาร์เจนตินา อังกฤษ และไนจีเรีย พวกเขาเสมออังกฤษในนัดแรก 1–1 จากประตูของนิกลัส อเล็กซานเดอร์ซ็อน และเอาชนะไนจีเรียในนัดต่อมา 2–1 จากสองประตูโดยเฮ็นริก ลอช็อน ปิดท้ายด้วยการเสมออาร์เจนตินา 1–1 เข้ารอบในฐานะอันดับ 1 อย่างเหนือความคาดหมาย แต่ยุติเส้นทางในรอบต่อมาจากการแพ้ม้ามืดอย่างเซเนกัล 1–2 จากการยิงประตูทองในช่วงต่อเวลา รายการนี้ยังเป็นรายการแรกที่ว่าที่ผู้เล่นระดับโลกอย่างซลาตัน อิบราฮีมอวิช มีชื่อติดทีมและทำผลงานได้ดีจนเป็นที่จับตามอง

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 สวีเดนลงแข่งขันด้วยผู้เล่นตัวหลักหลายราย ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในชุดที่แข็งแกร่งของสวีเดนด้วยผู้เล่นอย่างอิบราฮีมอวิช, ลอซ็อน, เฟรียดริก ยุงแบร์ย, มาร์คุส อัลเบค พวกเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม พวกเขาเอาชนะบัลแกเรียในนัดแรกขาดลอย 5–0 ตามด้วยการเสมออิตาลี 1–1 ในนัดต่อมาซึ่งผู้รักษาประตูอย่างอันเดรียส อิซัคส์ซ็อนได้รับการชื่นชมจากการช่วยทีมไม่ให้เสียประตูหลายจังหวะ และเสมอเดนมาร์ก 2–2 ในนัดสุดท้าย แต่พวกเขาแพ้จุดโทษเนเธอร์แลนด์ในรอบก่อนรองชนะเลิศหลังจากเสมอกัน 0–0 สวีเดนได้รับการยกย่องในแง่การเล่นฟุตบอลเกมรุกอย่างน่าตื่นเต้นในรายการนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยในทศวรรษก่อนหน้านี้ เนื่องจากพวกเขามีจุดเด่นในด้านการเล่นเกมรับมากกว่า

ต่อมาในฟุตบอลโลก 2006 สวีเดนอยู่ร่วมกลุ่มบีกับอังกฤษ, ปารากวัย และตรินิแดดและโตเบโก สวีเดนเสมอกับตรินิแดดในนัดแรก 0–0 สร้างความผิดหวังให้แฟนบอลพอสมควร เนื่องจากพวกเขามีอันดับโลกเหนือกว่า พวกเขาแก้ตัวด้วยการเอาชนะปารากวัย 1–0 จากประตูในช่วงท้ายเกมของยุงแบร์ย และเสมออังกฤษในนัดสุดท้ายไปอย่างสนุก 2–2 แม้จะถูกออกนำถึงสองครั้งแต่ก็ตีเสมอได้ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขันจากลอซ็อน แต่พวกเขาก็ต้องแพ้เจ้าภาพอย่างเยอรมนีในรอบต่อมาด้วยผลประตู 0–2 ต่อมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 สวีเดนตกรอบแรกจากผลงานชนะ 1 และแพ้ 2 นัดแม้จะเอาชนะแชมป์เก่าอย่างกรีซได้ในนัดแรก 2–0 แต่การแพ้ต่อสเปนและรัสเซียทำให้พวกเขาได้เพียงอันดับ 3 และหลังจบการแข่งขันผู้เล่นตัวหลักหลายรายประกาศเกษียณตนเองจากทีมชาติ เช่น ยุงแบร์ย, อเล็กซานเดอร์ซ็อน และอัลเบค

ทศวรรษ 2010: ยุคของอิบราฮีมอวิช

ซลาตัน อิบราฮีมอวิช กองหน้าคนสำคัญของทีมชาติสวีเดนตลอดทศวรรษ 2010 ถือเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาล

สวีเดนทำผลงานน่าผิดหวังในฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือกโซนยุโรป ในนัดแรกพวกเขาทำได้เพียงบุกไปเสมอแอลเบเนียที่ติรานา 0–0 ในเกมที่พวกเขาถูกคาดหมายว่าจะชนะอย่างง่ายดาย แม้สถานการณ์จะทำท่าว่าจะดีขึ้นเมื่อในนัดต่อมาพวกเขาเปิดบ้าเอาชนะฮังการี 2–1 แต่พวกเขาเสมอโปรตุเกส 0–0 ทั้งสองนัด และเปิดบ้านแพ้คู่ปรับอย่างเดนมาร์ก 0–1 แม้ในสามนัดต่อมาพวกเขาจะแก้ตัวด้วยการชนะมอลตา 4–0 ตามด้วยการบุกไปชนะฮังการี 2–1 และบุกชนะมอลตา 1–0 แต่การบุกไปแพ้เดนมาร์กอีกครั้งด้วยผลประตู 1–0 ทำให้สถานการณ์ยากลำบากและต้องลุ้นในนัดสุดท้าย แม้จะชนะแอลเบเนีย 4–1 แต่ก็ไม่เพียงพอเนื่องจากโปรตุเกสทีมที่ลุ้นแย่งเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ก็เปิดบ้านเอาชนะมอลตา 4–0

ต่อมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 เป็นอีกครั้งที่สวีเดนอยู่ร่วมกลุ่มกับอังกฤษ โดยมีฝรั่งเศสและเจ้าภาพอย่างยูเครนร่วมด้วย นัดแรกพวกเขาแพ้ต่อเจ้าภาพ 1–2 และตกรอบอย่างเป็นทางการหลังจากแพ้อังกฤษในนัดต่อมา 2–3 แม้จะเอาชนะฝรั่งเศสในนัดสุดท้าย ต่อมาในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก สวีเดนคว้าอันดับสองของกลุ่มตามหลังเยอรมนี และกลายเป็นหนึ่งในแปดทีมที่ได้เข้าสู่รอบคัดเลือกรอบที่สอง ในครั้งนี้มีการแข่งขันที่เป็นที่จดจำเมื่อพวกเขาเสมอเยอรมนีที่โอลึมพีอาชตาดีอ็อน (เบอร์ลิน) 4–4 แม้จะตามหลังไปก่อนถึง 0–4 ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอล[8]

สนามเหย้าแห่งใหม่ของสวีเดนอย่างเฟรนด์ส อารีน่าในสต็อกโฮล์ม เปิดใช้งานครั้งแรกในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ในนัดที่สวีเดนเอาชนะอังกฤษในเกมกระชับมิตร 4–2 ซึ่งสวีเดนได้ 4 ประตูจากการทำคนเดียวของอิบราฮีมอวิช โดยเฉพาะประตูที่ 4 นั้นเป็นการยิงลูกจักรยานอากาศระยะไกลกว่า 30 หลาเข้าไปอย่างสวยงาม ได้รับรางวัลปุชกาชของฟีฟ่าในฐานะประตูยอดเยี่ยมแห่งปี ในส่วนของการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จากการที่สวีเดนมีอันดับโลกในอันดับ 25 ส่งผลให้เขาต้องแข่งขันกับ 1 ใน 4 ทีมที่มีอันดับดีที่สุดในรอบต่อมา และพวกเขาต้องพบกับโปรตุเกส ทีมที่เอาชนะพวกเขาในรอบคัดเลือกครั้งที่แล้ว การแข่งขันนัดแรกที่ลิสบอนวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 จบลงด้วยชัยชนะ 1–0 ของโปรตุเกสจากประตูของคริสเตียโน โรนัลโด การแข่งขันนัดตัดสินเกิดขึ้นในอีก 4 วันถัดมาในสต็อกโฮล์ม โปรตุเกสออกนำไปก่อน 1–0 จากโรนัลโด แต่สวีเดนได้คืนสองประตูอย่างรวดเร็วจากอิบราฮีมอวิช ทำให้ผลรวมเท่ากันที่ 2–2 และสวีเดนยังต้องการประตูเพิ่มเนื่องจากยังเสียเปรียบกฏการยิงประตูทีมเยือน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเสียเพิ่มอีกสองประตูจากจังหวะสวนกลับโดยโรนัลโด เกมจบลงด้วยชัยชนะ 3–2 ของโปรตุเกสและผลประตูรวม 4–2 หลังจบการแข่งขัน แอนเดอร์ สเวนส์ซ็อนประกาศเลิกเล่นทีมชาติ

นักเตะสวีเดนก่อนลงแข่งขันกับรัสเซียในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก

ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก สวีเดนอยู่ร่วมกลุ่มจี พวกเขาบุกไปเสมอออสเตรีย 1–1 และกลับมาเปิดบ้านเสมอรัสเซียด้วยสกอร์เดิมในนัดต่อมา และเอาชนะลีชเทินชไตน์ 2–0 ตามด้วยการบุกไปเสมอมอนเตเนโกร 1–1 และบุกชนะมอลโดวา 2–0 ต่อมา สวีเดนเปิดบ้านเอาชนะมอนเตเนโกร 3–1 แต่โอกาสเข้ารอบพวกเขายังไม่แน่นอนจากการบุกไปแพ้รัสเซีย 0–1 และสถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อพวกเขาเปิดบ้านแพ้ออสเตรีย 1–4 แม้จะเอาชนะในสองนัดสุดท้าย แต่ยังต้องไปแข่งขันรอบเพลย์ออฟซึ่งพวกเขาพบกับคู่ปรับอย่างเดนมาร์ก นัดแรกนั้นสวีเดนเอาชนะไปได้ที่สต็อกโฮล์ม 2–1 จากประตูของเอียมิล ฟ็อชแบร์ย และอิบราฮีมอวิช และการบุกไปเสมอได้ในนัดที่สองที่โคเปนเฮเกน 2–2 เพียงพอต่อการส่งสวีเดนเข้าแข่งขันรอบสุดท้าย แต่พวกเขาก็ทำผลงานย่ำแย่อีกครั้งในรายการนี้ โดยจบอันดับสุดท้ายของกลุ่มแม้จะเสมอไอร์แลนด์ 1–1 ในนัดแรก แต่การแพ้ในสองนัดต่อมากับอิตาลีและเบลเยียมทำให้พวกเขาตกรอบ

ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนยุโรป – กลุ่ม เอ สวีเดนเข้ารอบต่อไปจากการจบอันดับ 2 ของกลุ่มตามหลังฝรั่งเศสด้วยผลงานชนะ 6 นัด, เสมอ 1 และแพ้ 3 นัด พวกเขามีผลงานที่ดีในหลายนัดรวมถึงการเอาชนะฝรั่งเศส 2–1 ชนะลักเซมเบิร์ก 8–0 และเสมอเนเธอร์แลนด์ 1–1 ต่อมาในรอบคัดเลือกรอบที่ 2 สวีเดนพบกับงานยากอย่างอิตาลี แต่ด้วยเกมรับอันแข็งแกร่งช่วยให้พวกเขาผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้อย่างเหนือความคาดหมายจากผลประตูรวมสองนัด 1–0 และในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 พวกเขาเข้ารอบในฐานะอันดับ 1 ของกลุ่มเอฟ ในนัดแรกนั้น สวีเดนเอาชนะเกาหลีใต้ 1–0 และแม้จะแพ้เยอรมนีในนัดต่อมา 1–2 แต่ก็ปิดท้ายด้วยการชนะเม็กซิโก 3–0 รายการนี้ผู้เล่นอย่างลุดวิก เอากุสทีนซ็อนทำผลงานในเกมรับได้โดดเด่น พวกเขาเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ในรอบต่อมา 1–0 จากการยิงโดยฟ็อชแบร์ย แต่ต้องยุติเส้นทางไว้แค่รอบก่อนรองชนะเลิศโดยแพ้อังกฤษ 0–2 ในส่วนของการแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 สวีเดนลงแข่งขันในลีกบี และมีผลงานชนะ 2 จาก 4 นัดได้เลื่อนชั้นสู่ลีกเอในครั้งต่อไป

ทศวรรษ 2020

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก สวีเดนเข้ารอบสุดท้ายในฐานะทีมอันดับ 2 มีผลงานคือ 21 คะแนนจากการชนะ 6 นัด และแพ้เพียง 1 นัด โดยความพ่ายแพ้นัดเดียวนั้นคือการบุกไปแพ้ทีมชั้นนำอย่างสเปนที่มาดริด พวกเขายังทำไปถึง 23 ประตูมากเป็นอันดับ 2 รองจากสเปน ในการแข่งขันรอบสุดท้าย สวีเดนเข้ารอบในฐานะอันดับ 1 ของกลุ่มอี ในนัดแรกนั้นพวกเขาเสมอสเปน 0–0 ตามด้วยการชนะสโลวาเกีย 1–0 และชนะโปแลนด์ในนัดสุดท้าย 3–2 โดยในครั้งนี้เป็นรายการที่ผู้เล่นอย่างเอียมิล ฟ็อชแบร์ย ทำผลงานโดดเด่นมาก สวีเดนต้องตกรอบเมื่อพวกเขาแพ้ยูเครน 1–2 ที่แฮมป์เดนพาร์ก โดยพวกเขาเสียประตูในนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาพิเศษ 120 นาที ในยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2020–21 ลีกเอ สวีเดนเป็นอันดับสุดท้ายของกลุ่มจากผลงานชนะ 1 นัดและแพ้ 5 นัดมีเพียง 3 คะแนน แต่พวกเขาอยู่ร่วมกับทีมชั้นนำอย่างโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และโครเอเชีย

ต่อมาใน ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปีที่อิบราฮีมอวิชกลับมามาชื่อติดทีม สวีเดนเอาชนะจอร์เจีย 1–0 ในนัดแรก ในนัดนี้อิบราฮีมอวิชทำสถิติเป็นผู้เล่นอายุมากที่สุดที่ลงสนามให้สวีเดนด้วยวัย 39 ปี 5 เดือน และ 22 วัน ต่อมาในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2021 สวีเดนเอาชนะสเปน 2–1 เป็นครั้งแรกที่สเปนแพ้ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกตั้งแต่ปี 1993[9][10] อย่างไรก็ตาม สวีเดนแพ้ต่อจอร์เจียในนัดต่อมาอย่างเหนือความคาดหมาย นับเป็นการแพ้ต่อทีมที่มีอันดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของสวีเดน ส่งผลให้สถานการณ์บังคับให้สวีเดนต้องเอาชนะสเปนที่เมืองเซบิยาให้ได้ แต่เกมจบลงด้วยชัยชนะ 1–0 ของสเปนจากประตูโดยอัลบาโร โมราตาในนาทีที่ 86[11] ส่งผลให้สวีเดนจบอันดับ 2 ของกลุ่มต้องไปเล่นรอบเพลย์ออฟในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 ในนัดแรกแม้สวีเดนจะเอาชนะเช็กเกีย 1–0[12] แต่พวกเขาต้องตกรอบจากการแพ้โปแลนด์ 0–2[13] และในการแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2022–23 ลีกบี สวีเดนมีผลงานไม่ดีโดยทำได้เพียงอันดับสุดท้าย แม้จะบุกไปชนะสโลวีเนียในนัดแรก 2–0 แต่แพ้รวดในอีกสี่นัดต่อมา โดยเปิดบ้านสองนัดแพ้นอร์เวย์ 1–2 และแพ้เซอร์เบีย 0–1 ตามด้วยการบุกไปแพ้นอร์เวย์ 2–3 และแพ้เซอร์เบีย 1–4 และเสมอสโลวีเนียในนัดสุดท้าย 1–1 ส่งผลให้พวกเขาตกไปสู่ลีกซีในการแข่งขันปีต่อไป[14][15][16]

สวีเดนไม่ผ่านฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบคัดเลือก กลุ่มเอฟ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการเปิดบ้านแพ้เบลเยียมขาดลอย 0–3 ต่อมา พวกเขาแก้ตัวด้วยการเอาชนะอาเซอร์ไบจาน 5–0 และบุกไปแพ้ออสเตรีย 0–2 ตามด้วยการบุกเอาชนะเอสโตเนีย 5–0 แต่ก็กลับมาเปิดบ้านแพ้ออสเตรีย 1–3 และบุกไปเสมอเบลเยียม 1–1 อย่างไรก็ตามพวกเขาตกรอบอย่างเป็นทางการ และสองนัดสุดท้ายนั้น ปรากฏว่าสวีเดนบุกไปแพ้อาเซอร์ไบจาน 0–3 และชนะเอสโตเนีย 2–0[17][18]

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 สมาคมฟุตบอลสวีเดนแต่งตั้งยอน ดาห์ล โทมัสซ็อน อดีตนักฟุตบอลชื่อดังทีมชาติเดนมาร์กเป็นผู้จัดการทีม[19] มีสัญญาจ้างถึงสิ้นสุดฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก เขาเป็นผู้ฝึกสอนต่างชาติคนแรกในรอบเกือบ 70 ปีของทีมชาติสวีเดน[20] ในการแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2024–25 สวีเดนเป็นอันดับ 1 ของลีกซี ด้วยผลงานชนะ 5 นัด และเสมอ 1 นัด เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกบีในฤดูกาลหน้า

ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนยุโรป – กลุ่มบี สวีเดนอยู่ร่วมกลุ่มกับสวิตเซอร์แลนด์, สโลวีเนีย และคอซอวอ การแข่งขันจะเริ่มต้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 2025

ภาพลักษณ์ทีม

ผู้สนับสนุน

ผู้สนับสนุนทีมชาติสวีเดนในฟุตบอลโลก 2006 ณ เมืองดอร์ทมุนท์

แฟนฟุตบอลทีมชาติสวีเดนปรากฏตัวครั้งแรกในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1912 ด้วยการตะโกนเชียร์วลีที่ว่า "Heja Sverige / friskt humör / det är det som susen gör" (Come on Sweden!) กองเชียร์ที่เดินทางไปให้กำลังใจทีมในเกมเยือนของสวีเดนปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1974 ที่เยอรมนีตะวันตก และตั้งแต่นั้นมา สวีเดนก็มีผู้สนับสนุนในรายการใหญ่มาโดยตลอด ในฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี สวีเดนมีกลุ่มผู้สนับสนุนที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งในระหว่างการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระหว่างการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับปารากวัย โดยมีแฟนบอลทีมชาติสวีเดนประมาณ 50,000 คนเข้าร่วม พร้อมด้วยแฟนบอลอีก 50,000 คนที่ชมเกมอยู่นอกสนาม แฟนฟุตบอลทีมชาติสวีเดนยังได้รับการโหวตให้เป็นแฟนฟุตบอลที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลก 2006 จากทัศนคติที่ดีต่อเกมฟุตบอล และมีพฤติกรรมที่น่ายกย่อง

อดีตผู้เล่นคนสำคัญ

แอนเดอร์ สเวนซ็อน ติดทีมชาติสวีเดนมากที่สุดจำนวน 148 นัด

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ไว
  2. "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 19 ธันวาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 19 ธันวาคม 2024.
  3. "'What if?' - The story of India's lost opportunity at the 1950 World Cup". Football Paradise (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-06-30.
  4. Hjertberg, Lars (2021-06-18). "När velocipederna tog Göteborg med storm". Göteborgs-Posten (ภาษาสวีเดน).
  5. FIFA. "FIFA+". FIFA+ (ภาษาอังกฤษ).
  6. FIFA. "FIFA+". FIFA+ (ภาษาอังกฤษ).
  7. O'Callaghan, Eoin (2014-06-09). "The cult World Cup teams we loved: Sweden 1994". The 42 (ภาษาอังกฤษ).
  8. "World Cup qualifiers: Sweden fightback stuns Germany". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2012-10-16. สืบค้นเมื่อ 2024-12-07.
  9. "Sweden 2-1 Spain: Visitors lose first World Cup qualifier since 1993". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-09-02. สืบค้นเมื่อ 2024-12-07.
  10. Ramsay, George (2021-09-03). "66 matches and 28 years later, Spain loses a FIFA World Cup qualifying match". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  11. "Spain 1-0 Sweden: Alvaro Morata goal sends Spain to World Cup". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-11-14. สืบค้นเมื่อ 2024-12-07.
  12. "Sweden 1-0 Czech Republic: Robin Quaison sends Swedes to World Cup play-off final". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2022-03-24. สืบค้นเมื่อ 2024-12-07.
  13. UEFA.com. "The official website for European football". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  14. Sweden, Radio (2022-09-28). "Sweden drops another level in Nations League after 1". Sveriges Radio (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-12-07.
  15. ESPN (2022-09-27). "Slovenia's Sesko scores wonder goal as Sweden relegated - TSN.ca". TSN (ภาษาอังกฤษ).
  16. "Tungt kryss mot Slovenien". www.svenskfotboll.se (ภาษาสวีเดน). 2022-09-27.
  17. "Janne Andersson avslutade med klar seger". www.svenskfotboll.se (ภาษาสวีเดน). 2023-11-19.
  18. "Departing Andersson ready for Sweden sendoff as team returns for first matches since 2 fans killed". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-11-08.
  19. "Jon Dahl Tomasson blir herrlandslagets nya förbundskapten - och därmed historisk". www.svenskfotboll.se (ภาษาสวีเดน). 2024-02-26.
  20. Laul, Robert (2024-02-26). "En historisk förändring – något helt nytt". Göteborgs-Posten (ภาษาสวีเดน).

แหล่งข้อมูลอื่น

Kembali kehalaman sebelumnya


Index: pl ar de en es fr it arz nl ja pt ceb sv uk vi war zh ru af ast az bg zh-min-nan bn be ca cs cy da et el eo eu fa gl ko hi hr id he ka la lv lt hu mk ms min no nn ce uz kk ro simple sk sl sr sh fi ta tt th tg azb tr ur zh-yue hy my ace als am an hyw ban bjn map-bms ba be-tarask bcl bpy bar bs br cv nv eml hif fo fy ga gd gu hak ha hsb io ig ilo ia ie os is jv kn ht ku ckb ky mrj lb lij li lmo mai mg ml zh-classical mr xmf mzn cdo mn nap new ne frr oc mhr or as pa pnb ps pms nds crh qu sa sah sco sq scn si sd szl su sw tl shn te bug vec vo wa wuu yi yo diq bat-smg zu lad kbd ang smn ab roa-rup frp arc gn av ay bh bi bo bxr cbk-zam co za dag ary se pdc dv dsb myv ext fur gv gag inh ki glk gan guw xal haw rw kbp pam csb kw km kv koi kg gom ks gcr lo lbe ltg lez nia ln jbo lg mt mi tw mwl mdf mnw nqo fj nah na nds-nl nrm nov om pi pag pap pfl pcd krc kaa ksh rm rue sm sat sc trv stq nso sn cu so srn kab roa-tara tet tpi to chr tum tk tyv udm ug vep fiu-vro vls wo xh zea ty ak bm ch ny ee ff got iu ik kl mad cr pih ami pwn pnt dz rmy rn sg st tn ss ti din chy ts kcg ve 
Prefix: a b c d e f g h i j k l m n o p q r s t u v w x y z 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9