ฉลาด หิรัญศิริ
ฉลาด หิรัญศิริ เป็นนายทหารชาวไทย อดีตผู้บัญชาการทหารไทยในสาธารณรัฐเวียดนาม และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นนายทหารที่มีความพยายามก่อรัฐประหาร การรับราชการทหารในปี พ.ศ. 2483 พล.อ. ฉลาด เริ่มรับราชการในตำแหน่งรองผู้บังคับกองร้อย ในยศร้อยตรี ที่จังหวัดอุดรธานี โดยมี ร.อ. ประภาส จารุเสถียร เป็นผู้บังคับกองร้อย ต่อมาเมื่อเกิดสงครามเกาหลี พล.อ. ฉลาด จึงได้อาสาสมัครไปรบในตำแหน่งงานยุทธศาสตร์ แผน และงบประมาณ (ฝอ.3) ของกองกำลังทหารไทยในเกาหลี ต่อมาในปี พ.ศ. 2506 เขาได้รับตำแหน่งเสนาธิการ กรมยุทธศึกษาทหารบก อัตรายศ"พลตรี" ในปี พ.ศ. 2511 จึงได้รับยศ"พลโท" ในตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังทหารไทยในสาธารณรัฐเวียดนาม ผลัดที่ 2 พล.อ. ฉลาด ปฏิบัติราชการสนามในสงครามเวียดนามได้อย่างดี จนได้รับหนังสือสดุดีวีรกรรมจากประธานาธิบดีเวียดนามใต้ หลังกลับจากราชการสงครามในเวียดนามใต้ ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสถาบันวิชาทหารบกชั้นสูง และก้าวสู่ตำแหน่งราชการในระดับสูงของกองทัพบกในระยะเวลาต่อมา ในสมัยของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อเขาอายุ 52 ปีเขาได้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกในปี พ.ศ. 2518[2] และได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่สุดท้ายก็ผิดหวังเพราะรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ประกาศยุบสภาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 และหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แล้ว พล.อ. ฉลาด จึงถูกย้ายออกจากกองทัพบกไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด ในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2519[3][4] การศึกษาพล.อ. ฉลาด จบการศึกษา ดังนี้
ตำแหน่งทหาร
การก่อกบฏในเช้ามืดของวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2520 กำลังทหาร 1 กองร้อยในกรุงเทพฯ นำโดย พ.ต. อัศวิน หิรัญศิริ (บุตรชายของ พล.อ. ฉลาด) เข้ายึดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก สวนรื่นฤดี เป็นกองบัญชาการ ในส่วนของ พ.ต. บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ กับ พ.ต. วิศิษฐ์ คงประดิษฐ์ นำกำลังทหารจากกาญจนบุรีเข้ามาสมทบตามแผน[4] หลังจากคณะผู้ก่อการที่นำโดย พล.อ. ฉลาด ได้ออกแถลงการณ์ฉบับแรก พล.ต. อรุณ ทวาทศิน ได้เเย่งปืนเอ็ม 16ไปจาก ร.ท. ชูชีพ ปานวิเชียร พล.อ. ฉลาด ได้สั่งให้ พล.ต. อรุณ วางปืนและเมื่อพูดจบเขาก็ใช้ปืนพกขนาด.38 ยิงใส่ พล.ต. อรุณไป 1 นัด เเต่หลังจาก พล.ต. อรุณถูกยิง มือของ พล.ต. อรุณ ยังถือปืนเอ็ม16อยู่ในท่าพร้อมยิง เขาจึงยิงใส่ พล.ต. อรุณอีก 3 นัดจนทรุดตัวลงกับพื้น หลังจากนั้นเขาก็เรียกรถพยาบาลให้นำ พล.ต. อรุณ ไปส่งโรงพยาบาล แต่ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา[11][12] ช่วงสาย ฝ่ายรัฐบาลเริ่มควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ และออกประกาศแจ้งให้ประชาชนทราบสถานการณ์ พร้อมกับสั่งการให้นำกำลังทหารเข้าปิดล้อมกองบัญชาการของคณะรัฐประหารที่สวนรื่นฤดี โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติว่า ทำอย่างไรก็ได้แต่ต้องไม่ให้เสียเลือดเนื้อ [4] ตกบ่าย กำลังฝ่ายคณะรัฐประหารหมดทางสู้ กำลังทหารที่ออกไปยึดพื้นที่ต่าง ๆ เริ่มวางอาวุธมอบตัวกับฝ่ายรัฐบาล จนเหลือเฉพาะที่สวนรื่นฤดีที่ถูกล้อมด้วยกำลังรถถัง แต่ไม่มีการยิงต่อสู้กัน รัฐบาลจึงส่งตัวแทนเข้าเจรจา คือ พ.ต. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายทหารรุ่นเดียวกับ พ.ต. อัศวิน โดย พ.ต. สุรยุทธ์ แจ้งคณะรัฐประหารว่า พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะเป็นผู้แทนฝ่ายรัฐบาลมาเจรจาเพื่อทำข้อตกลง โดยรัฐบาลยื่นข้อเสนอให้ พล.อ. ฉลาด และพวกผู้ก่อการยอมแพ้ และจะให้ลี้ภัยไปอยู่ที่ไต้หวัน นายทหารของคณะรัฐประหาร ซึ่งประกอบด้วย[4]
ก็ออกจากสวนรื่นฤดีไปยังบ้านพัก พล.อ. ฉลาด ย่านลาดพร้าวเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปไต้หวัน โดยจะขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง แต่ว่าเครื่องบินกลับไม่เดินทาง ก่อนที่ผู้ก่อการทั้งหมดก็ถูกจับกุมเเละถูกดำเนินคดี ซึ่งพล.อ. ฉลาดถูกตัดสินประหารชีวิต ส่วน พ.ท. สนั่น ขจรประศาสน์, พ.ต. บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์, พ.ต. วิศิษฐ์ ควรประดิษฐ์ และพ.ต. อัศวิน หิรัญศิริ ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ภายหลังก็ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมของปีเดียวกัน[13][14][15][16] เสียชีวิตวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2520 เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงจึงได้เบิกตัว พล.อ. ฉลาด ออกจากแดนพิเศษไปยังห้องทำการแผนกควบคุม เขาได้ถามเชาวเรศน์ จารุบุศย์ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยง ในห้องทำการแผนกควบคุมว่า "เชาวเรศน์ ญาติมาเยี่ยมผมเหรอ เขาอนุญาตให้เยี่ยมแล้วใช่ไหม" เชาวเรศน์ก้มหน้าหลบสายตาของเขา และไม่ยอมตอบคำถาม พล.อ. ฉลาดจึงพูดกับเชาวเรศน์ว่า "ถ้าวันนี้ ผมออกมาแล้วไม่ได้กลับเข้าไปในแดนอีก ผมฝากน้องนักศึกษาด้วยนะ" (นักศึกษาหมายถึงวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ และอภินันท์ บัวหะภักดี)[17] ในเวลา 14.20 น. หัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางได้อ่านคำสั่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 21 แห่งรัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2519 ให้เขาฟัง พล.อ. ฉลาดฟังด้วยควาสงบก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบคำสั่งมาดูแล้วเซ็นรับทราบ[17] พล.อ. ฉลาดได้เขียนพินัยกรรมลงในกระดาษจำนวน 4 แผ่น พล.อ. ฉลาด ปฎิเสธที่จะรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย โดยขอดื่มน้ำส้ม 1 ขวด หรือบางแหล่งระบุว่าน้ำเย็นแก้วเดียว[17] ในเวลา 14.50 น. พระมหาเจียม อุตฎรา ได้เทศนาธรรมเรื่อง "ผลแห่งกรรมที่ทุกคน ได้ก่อไว้ จะต้องได้รับผลกรรมนั้นตามสนอง" เขาได้รับฟังอย่างสงบ โดยในการเทศน์ใช้เวลาทั้งหมด 15 นาที หลังจากพระมหาเจียมเทศน์จบ เขากล่าวสาธุและก้มกราบ 3 ครั้ง ก่อนจะประเคนดอกไม้ธูปเทียนและเงินติดกัณฑเทศน์ถวายพระเป็นจำนวน 100 บาท เขายังได้ถอดนาฬิกาโอเมกาจากข้อมือแล้วพนมมือขึ้นเหนือหัวพร้อมกับอธิษฐานสักครู่ก่อนถวายให้แก่พระมหาเจียม ถัดจากนั้นเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้พาตัวของเขาไปยังสถานที่หมดทุกข์เพื่อทำการประหารชีวิต เขาเดินด้วยสีหน้าปกติและไม่มีอาการวิตกกังวลหรือหวาดกลัว เมื่อถึงศาลาแปดเหลี่ยม เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงจึงได้เข้าผูกตาของเขาเพื่อเตรียมเข้าสู่สถานที่ประหารชีวิต และเขาถามเชาวเรศน์ว่า "เชาวเรศน์...ไม่ต้องปิดตาผมได้มั้ย" เชาวเรศน์จึงตอบกลับว่า"ต้องขออภัยด้วยครับท่านเป็นระเบียบ ผมขออนุญาตครับท่าน" เขาจึงพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นเชาวเรศน์ก็ท่าตามหน้าที่เถอะนะ แต่ขออะไรส้กอย่าง ก่อนยิง ผมขอเป็นคนให้สัญญาณเอง ถ้าหากผมพร้อมเมื่อไหร่ จะเขย่าดอกไม้ในมือ" เชาวเรศน์จึงตอบตกลง[17] โดยคำพูดสุดท้ายของ พล.อ. ฉลาด ระหว่างที่ประถม เครืองเพ่งซึ่งเป็นเพชฌฆาตกำลังเตรียมการประหารชีวิต คือ "ถ้าพร้อมแล้วบอกนะ" ก่อนจะยกมือกระดกขึ้นเพื่อเขย่าดอกไม้ในมือ หลังจากนั้นประถม เครื่องเพ่งได้เหนี่ยวไกปืนประหารชีวิต พล.อ. ฉลาด เมื่อเวลา 15.24 น.[17][18] ซึ่งเขาเป็นบุคคลล่าสุดที่ถูกประหารชีวิตด้วยข้อหากบฏในประเทศไทย[19][20][21][22] เครื่องราชอิสริยาภรณ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
เครื่องอิสริยาภรณ์สากล
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
ดูเพิ่มบรรณานุกรม
อ้างอิง
|