สนธิสัญญาสันติภาพออสเตรเลีย–ไทย
สนธิสัญญาสันติภาพออสเตรเลีย–ไทย หรือชื่อเต็มว่า ความตกลงสันติภาพฉบับที่สุดระหว่างรัฐบาลแห่งสยามกับรัฐบาลแห่งออสเตรเลีย ลงนามในจังหวัดพระนครเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2489 เป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างทั้งสองประเทศ และนับเป็นเอกสารที่แสดงออกถึงอำนาจอธิปไตยและเอกราชในกิจการต่างประเทศของออสเตรเลียหลังบทกฎหมายแห่งเวสต์มินสเตอร์มีผลใช้บังคับในปี 2485[1] การเจรจาในเดือนตุลาคม 2488 รัฐบาลชีฟลีย์ส่งพลโท อัลเลน เจ. อีสต์แมนแห่งกองทัพบกสหรัฐเป็นผู้แทนไปยังจังหวัดพระนครซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองอยู่ในเวลานั้น เจ. ซี. อาร์. พราวด์ ผู้แทนการเมืองออสเตรเลียในสิงคโปร์ สรุปจุดยืนของรัฐบาลในเรื่องสันติภาพกับประเทศไทยเมื่อเขาแนะนำอีสต์แมนว่า "การเสียชีวิตของเชลยศึกชาวออสเตรเลียจำนวนมากในสยามเป็นข้อเท็จจริงที่เราไม่อาจเพิกเฉยได้" บริเตนเสนอให้ออสเตรเลียเจรจาสนธิสัญญาสันติภาพของตนเองกับประเทศไทย และยกฐานะอีสต์แมนเป็นอัครราชทูตประจำประเทศไทยชั่วคราว แต่ตัดสินใจยังไม่สถาปนาความสัมพันธ์ทางทูตอย่างเป็นทางการกับรัฐที่ออสเตรเลียถือว่ายังทำสงครามกันอยู่ อีสแมนได้รับแต่งตั้งเป็นกงสุลและเข้าร่วมการเจรจาระหว่างบริเตนกับไทย ณ สิงคโปร์ แม้ก่อนได้รับพระบรมราชานุญาตแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกงสุล ทั้งนี้ด้วยเหตุว่าไทยไม่เคยยอมรับสถานะสงครามกับออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ จึงถือว่าสนธิสัญญากับออสเตรเลียเป็นประเด็นเทคนิคเท่านั้น ออสเตรเลียตั้งเงื่อนไขว่าไทยยุติสถานะสงครามกับบริเตนและยอมรับเงื่อนไขสันติภาพของบริเตน และยืนกรานให้มีการพิจารณาคดีผู้สนับสนุนญี่ปุ่น และค่าปฏิกรรมในเรื่องเหมืองดีบุก[2] หลังความตกลงสมบูรณ์แบบ อีสต์แมนแลกเปลี่ยนบันทึกกับผู้เจรจาฝ่ายไทย คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย โดยยืนยันว่าสนธิสัญญาอีกฉบับกับออสเตรเลียจะมีการลงนามภายในวันที่ 3 เมษายน รัฐบาลออสเตรเลียในกรุงแคนเบอร์พิจารณาถอนตัวเขากลับ ณ จุดนั้น แต่เขากระตุ้นให้รั้งตำแหน่งจนกว่ากระบวนการตัดสินค่าสินไหมทดแทนแล้วเสร็จ เขายังไม่ถอนตัวจนมีการแลกเปลี่ยนให้สัตยาบันสนธิสัญญาฯ ในเดือนพฤษภาคม[3] ต่อมาในปี 2493 ไทยตกลงจ่ายค่าชดเชย 6 ล้านปอนด์แก่รัฐบาลบริเตนและออสเตรเลียสำหรับความเสียหายยามสงครามต่อการทำธุรกิจเหมืองดีบุกของทั้งสองประมาณ ส่วนออสเตรเลียได้ส่วนแบ่งเกิน 1 ล้านปอนด์เล็กน้อย[4] อ้างอิง
บรรณานุกรม
|