มวยไทย
มวยไทย เป็นศิลปะการต่อสู้ของประเทศไทย มีความโดดเด่นด้านเทคนิคการกอดคอต่อสู้[1][2][3][4] ซึ่งเป็นการใช้ทั้งกายและใจ สำหรับการต่อสู้ที่ใช้ร่างกายเป็นอาวุธ โดยเป็นที่รู้จักว่าเป็น "นวอาวุธ" ซึ่งประกอบด้วยการโจมตีจากร่างกายทั้ง หมัด, ศอก, เข่า และเท้า หากมีการเตรียมพร้อมด้านร่างกายดี จะก่อให้เกิดอาวุธที่มีอานุภาพ[5] มวยไทยได้เป็นที่แพร่หลายในระดับนานาชาติในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบ เมื่อเหล่านักมวยไทยสามารถเป็นฝ่ายชนะนักต่อสู้ที่มีชื่อเสียงในแขนงอื่น[6] ซึ่งการแข่งขันมวยไทยในระดับอาชีพ ได้รับการดูแลโดยสภามวยไทยโลก[7][8] ปัจจุบัน ทางสหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) มีแผนที่จะผลักดันกีฬามวยไทยเข้าสู่กีฬาโอลิมปิก[9][10] และใน พ.ศ. 2557 ทางองค์การสหประชาชาติได้ให้การยอมรับมวยไทยเป็นกีฬาแห่งประชาคมโลก โดยได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับสภามวยไทยโลก และสหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ[11][12] ศัพทมูลวิทยาคำ มวยไทย (อังกฤษ: Muay Thai) เป็นคำอาการนามตามหลักภาษาไทย คำว่า "มวย" เป็นคำยืมมีรากมาจากคำสันสกฤตว่า มวฺยติ[13] (สันสกฤต: मव्यति, อักษรโรมัน: mavyati) แปลว่า ดึงเข้าด้วยกัน ทำให้ตาบอด คำว่า "ไทย" มาจากคำว่า ไท[13] (Tai) แปลว่า คนที่พูดภาษาตระกูลขร้า-ไท หรือความเป็นอิสระ แต่เดิมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเรียกมวยไทยว่า การรำหมัดรำมวย[14] แล้วทรงเปลี่ยนให้เรียกว่า มวยไทย ตั้งแต่รัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา คำ "มวยไทย" ที่ชาวบ้านเรียกทั่วไป เช่น เล่นตีมวย เล่นต่อยมวย เป็นต้น คำ มวย ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการเขียนจดบันทึกพบในใบลานต้นฉบับภาษาไทยถิ่นเหนือ (ล้านนา) ชื่อ มังรายศาสตร์ เป็นกฎหมายมังรายตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1839 รัชสมัยพญามังราย[15]: 30 คำ ทนายเลือก ใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยา หมายถึง นักมวยสำหรับป้องกันพระเจ้าแผ่นดิน, ชื่อกรม ๆ หนึ่งสำหรับกำกับนักมวย[16] เป็นหน่วยงานราชการมีชื่อว่า กรมทนายเลือก (หรือ กรมนักมวย) พบในทำเนียบพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง พ.ศ. 1998 รัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปัจจุบันเลิกใช้ คำ ปล้ำพนันเมือง[17][18] หมายถึง มวย[19] พบใน พระราชพงศาวดารเหนือ สมัยอู่ทอง (เมืองศรีอยุทธยา หรือกรุงอโยธยาก่อนสถาปนาอาณาจักรอยุธยา) รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง (พ.ศ. 1748–1796) และรัชกาลสมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชา (พ.ศ. 1823–1844) พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2513 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานกระแสพระราชดำรัสแก่คณะกรรมการจัดการแข่งขันชกมวยโดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนนักมวยไทยในมูลนิธิอานันทมหิดลว่า:-
ประวัติศาสตร์มวยไทยประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวยไทยเริ่มมีและใช้กันในการสงครามในสมัยก่อน ซึ่งแตกต่างจากมวยไทยในปัจจุบันที่ใช้เป็นการกีฬา โดยมีการใช้นวมขึ้นเพื่อป้องกันการอันตรายที่เกิดขึ้น มวยไทยยังคงได้ชื่อว่า ศาสตร์การโจมตีทั้งแปด ซึ่งรวม สองมือ สองเท้า สองศอก และสองเข่า (บางตำราอาจเป็น นวอาวุธ ซึ่งรวมการใช้ศีรษะโจมตี หรือ ทศอาวุธ ซึ่งรวมการใช้บั้นท้ายกระแทกโจมตี) มวยไทยสืบทอดมาจากมวยโบราณ ซึ่งแบ่งออกเป็นแต่ละสายตามท้องที่นั้น ๆ โดยมีสายสำคัญหลัก เช่น มวยท่าเสา (ภาคเหนือ) มวยโคราช (ภาคอีสาน) มวยไชยา (ภาคใต้) มวยลพบุรีและมวยพระนคร (ภาคกลาง) มีคำกล่าวไว้ว่า "หมัดหนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไวกว่าท่าเสา"
ในสมัยโบราณจะมี สำนักเรียน (สำนักเรียนมวย แตกต่างจาก ค่ายมวย คือ สำนักเรียนจะมีเจ้าสำนัก หรือ ครูมวย ซึ่งมีฝีมือและชื่อเสียงเป็นที่เคารพรู้จัก มีความประสงค์ที่จะถ่ายทอดวิชาไม่ให้สูญหาย โดยมุ่งเน้นถ่ายทอดให้เฉพาะศิษย์ที่มีความเหมาะสม ส่วน ค่ายมวย เป็นที่รวมของผู้ที่ชื่นชอบในการชกมวย มีจุดประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนวิชาความรู้เพื่อนำไปใช้ในการแข่งขัน-ประลอง) โดยแยกเป็น สำนักหลวง และ สำนักราษฎร์ บ้างก็ฝึกเรียนร่วมกับเพลงดาบ กระบี่ กระบอง พลอง ทวน ง้าวและมีดหรือการต่อสู้อื่น ๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวและใช้ในการสงคราม มีทั้งพระมหากษัตริย์และขุนนางแม่ทัพนายกองและชาวบ้านทั่วไป (ส่วนใหญ่เป็นชาย) และจะมีการแข่งขันต่อสู้-ประลองกันในงานวัด และงานเทศกาลโดยมีค่ายมวยและสำนักมวยต่าง ๆ ส่งนักมวยและครูมวยเข้าแข่งขันชิงรางวัล-เดิมพัน โดยยึดความเสมอภาค บางครั้งจึงมีตำนานพระมหากษัตริย์หรือขุนนางที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ปลอมตนเข้าร่วมแข่งขันเพื่อทดสอบฝีมือที่เป็นที่ปรากฏได้แก่ พระเจ้าเสือ (ขุนหลวงสรศักดิ์) พระเจ้าตากสินมหาราช พระยาพิชัยดาบหัก ครูดอก แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จนเมื่อไทยเสียกรุงแก่พม่า ปรากฏชื่อนายขนมต้ม ครูมวยชาวอยุธยา ซึ่งถูกกวาดต้อนเป็นเชลยศึกได้ชกมวยกับชาวพม่า ชนะหลายครั้งเป็นที่ปรากฏถึงความเก่งกาจเหี้ยมหาญของวิชามวยไทย ในสมัยอยุธยา ตอนปลายได้มีการจัดตั้งกรมทนายเลือกและกรมตำรวจหลวงขึ้นมีหน้าที่ในการให้การคุ้มครองกษัตริย์และราชวงศ์ ได้มีการฝึกหัดวิชาการต่อสู้ทั้งมวยไทยและมวยปล้ำตามแบบอย่างแขกเปอร์เซีย (อิหร่าน) จึงมีครูมวยไทยและนักมวยที่มีฝีมือเข้ารับราชการจำนวนมากและได้แสดงฝีมือในการต่อสู้ในราชสำนักและหน้าพระที่นั่งในงานเทศกาลต่าง ๆ สืบต่อกันมาเป็นประจำ และเป็นที่น่าสังเกตว่า กองทัพกู้ชาติของพระเจ้าตาก ล้วนประกอบด้วยนักมวยและครูมวยที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นจำนวนมาก ถึงกับได้มีการจัดตั้งเป็นหน่วยรบพิเศษ 3 กอง คือ กองทนายเลือก กองพระอาจารย์ และกองแก้วจินดา ซึ่งได้ปฏิบัติภารกิจที่สำคัญที่ทำให้คนไทยสิ้นความหวาดกลัวต่อทัพพม่า ในการรบที่บ้านนางแก้ว ราชบุรี จนอาจเรียกได้ว่า มวยไทยกู้ชาติ[ต้องการอ้างอิง] มวยไทยสมัยรัตนโกสินทร์กีฬามวยไทยได้รับความนิยมมากในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยุคที่นับว่าเฟื่องฟูที่สุดคือ รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ศึกษาฝึกฝนการชกมวยไทยและโปรดให้จัดการแข่งขันชกมวยหน้าพระที่นั่งโดยคัดเลือกนักมวยฝีมือดีจากภาคต่าง ๆ มาประลองแข่งขัน และพระราชทานแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์ ทั้งยังโปรดให้กรมศึกษาธิการ บรรจุการสอนมวยไทยเป็นวิชาบังคับ ในโรงเรียนฝึกหัดครูพลศึกษา มีการชกมวยถวายหน้าพระที่นั่งเป็นประจำจนถึงสมัย รัชกาลที่ 6 ที่วังสวนกุหลาบ ทั้งการต่อสู้ประลองระหว่างนักมวย กับครูมวยชาวไทยด้วยกัน และการต่อสู้ระหว่างนักมวย กับครูมวยต่างชาติ ในการแข่งขันชกมวยในสมัยรัชกาลที่ 6 ระหว่างมวยเลี่ยะผะ (กังฟู) ชาวจีนโพ้นทะเล ชื่อนายจี่ฉ่าง กับ นายยัง หาญทะเล ศิษย์เอกของ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีท่าจรดมวยแบบมวยโคราช ซึ่งเน้นการยืดตัวตั้งตระหง่านพร้อมที่จะรุกและรับโดยเน้นการใช้เท้าและหมัดเหวี่ยง และต่อมาได้เป็นแบบอย่างในการฝึกหัดมวยไทยในสถาบันพลศึกษาส่วนใหญ่ สมัย รัชกาลที่ 7 ในยุคแรกการแข่งขันมวยไทยใช้การพันมือด้วยเชือก จนกระทั่งนายแพ เลี้ยงประเสริฐ นักมวยจากท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์ ต่อยนายเจียร์ นักมวยเขมร ด้วยหมัดเหวี่ยงควายถึงแก่ความตาย จึงเปลี่ยนมาสวมนวมแทน ต่อมาเริ่มมีการกำหนดกติกาในการชก และมีเวทีมาตรฐานขึ้นแห่งแรกคือเวทีมวยลุมพินีและเวทีมวยราชดำเนินจัดแข่งขันมวยไทยมาจนปัจจุบัน แต่คำว่า มวยไทย มีมาใช้ในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายชาตินิยม ในยุคที่มี น.ต.หลวงศุภชลาศัย ร.น. เป็นอธิบดีกรมพลศึกษา มีการออกพระราชบัญญัติมวยไทย ซึ่งแต่เดิมมวยไทยจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามท้องถิ่น เช่น มวยโคราช, มวยไชยา และรวมถึงการก่อสร้างเวทีมวยมาตรฐานจวบจนปัจจุบัน คือ เวทีมวยลุมพินี และเวทีมวยราชดำเนิน[20] มวยไทยสมัยใหม่นับแต่กีฬามวยไทยได้มีสนามมวยถาวรแห่งแรก คือ สนามมวยเวทีราชดำเนิน เปิดแข่งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2488 จัดแข่งในวันอาทิตย์ ต่อจากราชดำเนินก็มีสนามมวยถาวรอีกแห่งคือ สนามมวยเวทีลุมพินี เปิดแข่งอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2496[21] มวยไทยก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย นักมวยที่จะขึ้นชกในสนามทั้งสองจะแยกตามน้ำหนักตัวที่กำหนดขึ้น เกิดกติกามวยไทยอาชีพเป็นครั้งแรกฉบับ พ.ศ. 2498 แก้ไขปรับปรุงจากฉบับ พ.ศ. 2480 ของกรมพลศึกษา โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 4 กันยายน 2498 มีการถ่ายทอดการชกมวยจากสนามราชดำเนินเป็นครั้งแรก[22] ในยุคที่สนามมวยเวทีราชดำเนินยังไม่มีหลังคา สร้างนักมวยไทยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ อย่าง สุข ปราสาทหินพิมาย, ชูชัย พระขรรค์ชัย, สมพงษ์ เวชสิทธิ์, ถวัลย์ วงศ์เทเวศร์, สุรชัย ลูกสุรินทร์, สมเดช ยนตรกิจ, ดาวทอง สิงหพัลลภ, อุสมาน ศรแดง และ ประยุทธ์ อุดมศักดิ์ ในยุควงการมวยที่เรียกว่า "ยุคทอง" ในสองทศวรรษหลังช่วงปี 2520 เป็นต้นมา เวทีราชดำเนินได้เทียมบุญ อินทรบุตร สมทบกับ เส่ย ลี้ถาวรชัย มาเป็นโปรโมเตอร์ สร้างนักมวยชื่อดังอย่าง ดีเซลน้อย ช.ธนะสุกาญจน์, ณรงค์น้อย เกียรติบัณฑิต, วิชาญน้อย พรทวี, ขาวผ่อง สิทธิชูชัย, เผด็จศึก พิษณุราชันย์, ขุนพลน้อย เกียรติสุริยา, เริงศักดิ์ พรทวี, ประวิทย์ ศรีธรรม และ หนองคาย ส.ประภัสสร ขณะที่เวทีลุมพินี มีชนะ ทรัพย์แก้ว เป็นโปรโมเตอร์ ได้สองนักมวยชื่อดังอย่าง ผุดผาดน้อย วรวุฒิ กับ พุฒ ล้อเหล็ก เป็นนักมวยแม่เหล็ก ในยุคทองของโปรโมเตอร์ทรงชัย รัตนสุบรรณ สร้างนักมวยเอกขึ้นมาเป็นที่นิยมตั้งแต่รุ่นเล็กพิกัด 105 ปอนด์ จนถึงรุ่นใหญ่พิกัด 135-140 ปอนด์[23] พ.ศ. 2521 มนต์สวรรค์ ลูกเชียงใหม่ แชมป์มวยไทย รุ่นไลท์เวต (135 ปอนด์) ของเวทีราชดำเนิน เดินทางไปป้องกันตำแหน่งกับ โทชิโอะ ฟูจิวาระ นักมวยชาวญี่ปุ่น ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นการป้องกันตำแหน่งแชมป์เปี้ยนเวทีราชดำเนินอย่างเป็นทางการ แต่ผลคือฟูจิวาระชนะน็อกมนต์สวรรค์ ทำให้โตชิโอะ ฟูจิวาระ เป็นนักมวยไทยชาวต่างประเทศคนแรกที่เป็นแชมป์เวทีมาตรฐานของมวยไทย[24] โด่งดังต่างประเทศและอิทธิพลกีฬาอื่น20 ธันวาคม พ.ศ. 2502 มีการแข่งขันระหว่างมวยไทยกับคาราเต้ ที่ศาลากลางโตเกียวอาซากูซะ ประเทศญี่ปุ่น ในกติกาปะทะเต็มรูปแบบ หลังการแข่งขันนี้ทัตซึโอะ ยามาดะ ผู้ก่อตั้งนิปปอนเคมโปคาราเต้โด มีแผนที่จะสร้างกีฬาชนิดใหม่หรือต่อมารู้จักในชื่อ คิกบอกซิง[25] 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 โอซามู โนกูจิ ได้พานักมวยคิกบ็อกซิ่ง 3 ราย มาต่อสู้กับนักมวยไทย ที่สนามมวยเวทีลุมพินี มวยไทยแพ้ 2-1[26] ในขณะที่คู่เอก เป็นการต่อสู้ระหว่าง เค็นจิ คูโรซากิ ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนนักมวยคิกบ็อกซิ่ง และเป็นอดีตนักคาราเต้แถวหน้า พบกับราวี เดชาชัย คูโรซากิเย็บ 3 เข็ม ฟันโยกทั้งปาก ส่วนอีก 2 นักมวยไทยที่แพ้ เนื่องจากทางผู้จัดให้นักมวยไทยระดับพอใช้รับมือเพราะประเมินนักมวยคิกบอกซิงต่ำมาก นัดการแข่งขันที่ทำให้มวยไทยสร้างความตกตะลึงต่อชาวอเมริกันที่ขณะนั้นมวยไทยยังไม่เป็นที่รู้จัก เกิดขึ้นเมื่อปี 2531 ที่ลาสเวกัสซึ่งรายการนี้ถ่ายทอดไปทั่วโลก ในการชกระหว่างช้างเผือก เกียรติทรงฤทธิ์ และ ริก รูฟัสซึ่งขณะนั้นยังไม่เคยแพ้ใคร 28-0 และยังเป็นแชมป์โลก KICK Super Middleweight และ PKC Middleweight ช้างเผือกได้แข่งขันในต่างประเทศเป็นครั้งแรกอันเนื่องมาจากเขาไม่มีรายการชกเนื่องจากหาคู่ชกยากอันเนื่องจากน้ำหนักตัว รูฟัสน็อกช้างเผือกลงได้สองครั้งทั้งยังกรามหัก แต่สามารถมาชนะน็อกได้ในยกที่ 4 ด้วยการเตะเจาะยาง แม้กติกาจะเอื้ออำนวยให้กับทางริก รูฟัส[27] จากนั้นรูฟัสเลิกเทควันโดและคาราเต้และหันมาเอาดีในมวยไทยแทน รวมถึงตัวน้องชายเขาด้วย[28] ส่วนในยุโรป ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 มวยไทยมีความนิยมในกลุ่มคนเล็ก ๆ ในกลุ่มชาวเอเชียที่อพยพในยุโรป กลุ่มใหญ่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส ในฝรั่งเศส Roger Paschy ครูคาราเต้ชาวเวียดนามอพยพได้ค้นพบมวยไทยระหว่างเดินทางไปท่องเที่ยวแล้วกลับนำมาเผยแพร่ในฝรั่งเศส ส่วนในอังกฤษผู้มีบทบาทสำคัญเป็นชาวไทยชื่อ Sken และ Toddy ต่อมาในปี 2521 Thom Harinck เจ้าของยิมในเนเธอร์แลนด์ สร้างทีมนักมวยชาวดัตช์เพื่อไปแข่งกับนักมวยไทยที่สนามลุมพินี นักมวยที่นำไปแพ้น็อกตั้งแต่ยกหนึ่งหรือยกสอง หลังการแข่งขัน Thom Harinck อยู่ในประเทศไทย 3 เดือนเพื่อเรียนรู้มวยไทยแล้วนำมาสอนนักมวยที่เนเธอร์แลนด์[29] ครูมวยไทยที่มีชื่อเสียงในแต่ละยุคยุคอดีต
ยุคปัจจุบัน
นักมวยไทยมีชื่อเสียงหลักการชกมวยไทยการชกมวยไทยที่ดี มีหลักสำคัญ คือ มีการป้องกัน ด้วยการยืน มั่นคง เข้มแข็ง สูงเด่น การตั้งแขนป้องกัน (การการ์ดมวย) และการเก็บคาง เปรียบเสมือนป้อมปราการ เท้าหน้า จรดชี้ไปข้างหน้าวางน้ำหนักครึ่งฝ่าเท้า เท้าหลัง วางทแยงเฉียงกว้างกว่าหัวไหล่วางน้ำหนักเศษหนึ่งส่วนสี่ไว้ที่อุ้งนิ้วหัวแม่โป้ง ขยับก้าวด้วยการลากเท้าหลังตามพร้อมที่จะหลอกล่อ ขยับเข้า ออก ตั้งรับและโจมตีตอบโต้ แขนหน้ายกกำขึ้นอย่างน้อยเสมอไหล่ หรือจรดสันแก้ม แขนหลังยกกำขึ้นจรดแก้ม ศอกทั้งสองข้างไม่กางออกและไม่แนบชิด ก้มหน้าเก็บคาง ตาเขม็งมองไปตรงหว่างอกของคู่ต้อสู้ พร้อมที่จะเห็นการเคลื่อนไหวทุกส่วน เพื่อที่จะรุก รับ หรือตอบโต้ด้วยแม่ไม้ ลูกไม้และการแจกลูกต่าง ๆ มีการเคลื่อนไหวที่องอาจมีจังหวะ มีการล่อหลอกและขู่ขวัญที่มีการเปรียบเทียบว่า "ประดุจพญาราชสีห์ และพญาคชสีห์" อาวุธมวยที่ออกไป ต้องมีเป้าหมายและจุดประสงค์แน่นอน (แต่มักซ้อนกลลวงไว้) มีการต่อสู้ระยะไกล (วงนอก) และระยะประชิด (วงใน) และมีทีเด็ดทีขาดในการพิชิตคู่ต่อสู้[ต้องการอ้างอิง] และแม่ไม้มวยไทย เป็นท่าต่อสู้ของวิชามวยไทยที่สำคัญที่สุด[33] มวยไทยกับเยาวชนในปี พ.ศ. 2552 นั้นประเทศไทยมีนักมวยเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นจำนวนมากกว่า 20,000 คน[34] นักมวยไทยเยาวชนส่วนมากนั้นอยู่ในพื้นที่ชนบท แม้จะมีความรักและชื่นชอบในมวยไทยอยู่บ้างแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ส่วนใหญ่มีความจำเป็นในการเรียนรู้ศิลปะแม้ไม้มวยไทยเพื่อความอยู่รอด หรือใช้สร้างรายได้แบ่งเบาภาระให้กับครอบครัว[35] การเรียนรู้ศิลปะมวยไทยนั้นได้ให้อะไรหลาย ๆ อย่างที่เป็นผลดีแก่เด็ก อาทิ ปลูกฝังวินัยในการใช้ชีวิตจากการฝึกซ้อม ปลูกฝังความรู้ในการใช้มวยไทยเพื่อป้องกันตัวในยามคับขันโดยนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ หรือมีความรู้สึกรักและหวงแหนศิลปะการต่อสู้อันเป็นสมบัติของชาติ[36] แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นการเรียนรู้ศิลปะแม้ไม้มวยไทยแบบเก่าก็ได้ให้ผลเสียทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่เด็กด้วยเช่นกัน[37] อาทิ ผลกระทบทางสมองของเด็ก อาการบาดเจ็บจากการขึ้นชกบนเวที ต่อมาทางหน่วยงานรัฐบาลจึงมีกฎหมาย[38] ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจากอาการบาดเจ็บทางด้านร่างกาย และสมองต่อเด็กเยาวชนโดยที่ไม่เป็นการยกเลิกมวยไทยในเยาวชนเนื่องจากยังเล็งเห็นประโยชน์ของการอนุรักษ์ศิลปะมวยไทยในเด็กเยาวชนให้สืบสานต่อไปได้ จึงทำให้เกิดการร่างกติกาสำหรับมวยเยาวชนขึ้นมาใหม่ อาทิ มีเครื่องป้องกันที่มากขึ้น กติกาห้ามชกแบบรุนแรงบนใบหน้า เน้นการเรียนรู้ในเรื่องการใช้ท่าทางต่าง ๆ เป็นหลักมากกว่าการขึ้นชกมวยบนเวทีแบบเอาเป็นเอาตายของเด็กเยาวชน ภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมไทย ทั้งหน่วยงานรัฐ และภาคเอกชนยังช่วยปลูกฝังความรักและหวงแหนในศิลปะมวยไทยไปสู่เด็กเยาวชนมาโดยตลอด[39] อาทิ การบรรจุวิชามวยไทยลงในชุดการสอนของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาเป็นหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมในทุกโรงเรียนทั่วประเทศ มีการอบรมเชิงปฏิบัติการศิลปะมวยไทยเพื่อการป้องกันตัวให้แก่ครูผู้สอนพลศึกษา[40] ตลอดจนถึงการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นแฟนตาซีผสมผสานกับมวยไทยของเอกชน เรื่อง 9 ศาสตรา[41] มวยไทยกับการออกกำลังกายการออกกำลังกายด้วยวิธีการใช้หมัด เข่า ศอก และเท้า ตามแบบฉบับของมวยไทย ทำให้อวัยวะหลาย ๆ ส่วนของร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วน อีกทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย[42] กล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้มีพละกำลังมากขึ้น การชกมวยไทยเพียงหนึ่งชั่วโมงสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 1,000 แคลอรี[43] จากงานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายด้วยมวยไทยในกลุ่มผู้สูงอายุมีส่วนช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจดีขึ้น รวมทั้งช่วยในการทรงตัวของร่างกาย[44] การนำมวยไทยไปประยุกต์ใช้ในการออกกำลังกาย เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมไทย ทั้งในดารา นักแสดง ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันอาทิ คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์, ธันย์ชนก ฤทธินาคา, เจนี่ อัลภาชน์, ศุกลวัฒน์ คณารศ และซันนี่ สุวรรณเมธานนท์[45] เป็นต้น ความนิยมนั้นยังมีตลอดไปจนถึงผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ ทั้งเพศหญิงและเพศชาย สอดคล้องกับจำนวนยิมฝึกมวยไทยที่มีมากขึ้นในตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 21 เหตุผลอันสำคัญหนึ่งที่ทำให้การออกกำลังกายด้วยมวยไทยเป็นที่นิยมนั่นคือความสนุกสนานและท้าทาย[46] ความนิยมของมวยไทยในชาวต่างชาติมวยไทยเริ่มมีชื่อเสียงในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 และมีชื่อเสียงอย่างมากในต่างประเทศในตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 21 ผ่านการถ่ายทอดทางสื่อต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ อันช่วยส่งเสริมมวยไทยในวัฒนธรรมสมัยนิยม อาทิ ภาพยนตร์ และวิดีโอเกม เป็นต้น [47][48] ความนิยมของมวยไทยในชาวต่างชาตินั้นสูงขึ้นกว่าในอดีต วัดได้จากการเก็บสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยใน พ.ศ. 2559 โดยพบว่ามีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อเรียนมวยไทยจำนวนมากกว่า 50,000 คน ซึ่ง 10 อันดับแรก มีดังต่อไปนี้ สหราชอาณาจักร จำนวน 11,219 คน ออสเตรเลีย 6,800 คน ฝรั่งเศส 5,852 คน เยอรมัน 4,688 คน สวีเดน 4,253 คน รัสเซีย 2,183 คน เดนมาร์ก 1,855 คน ญี่ปุ่น 1,841 คน นิวซีแลนด์ 1,781 คน และสเปน 1,633 คน[49] ซึ่งความนิยมดังกล่าวยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยอีกด้วย โดยที่ใน พ.ศ. 2561 มวยไทยได้สร้างรายได้เข้าประเทศกว่าหนึ่งแสนล้านบาท ส่งผลให้ในเวลาต่อมาทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญของมวยไทย ทำการส่งเสริมโดยจัดทำหนังสือคู่มือมวยไทยแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในภาษาอังกฤษ ภายใต้ชื่อ "AWESOME MUAY THAI" [50]ทั้งแบบเป็นหนังสือกระดาษทั่วไปและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์[51] จากความนิยมของมวยไทยดังกล่าวในชาวต่างชาติ ทำให้ใน พ.ศ. 2556 มีค่ายมวยไทยในต่างประเทศเป็นจำนวนถึง 3,869 แห่ง[52] และมีค่ายมวยไทยในประเทศไทยใน พ.ศ. 2561 เป็นจำนวนถึง 5,100 แห่ง โดย 5 ประเทศที่มีค่ายสอนมวยไทยมากที่สุด มีดังต่อไปนี้ บราซิล 1,631 แห่ง อิหร่าน 650 แห่ง อินเดีย 256 แห่ง โมร็อกโก 220 แห่ง และสหรัฐ 190 แห่ง[53] วิกิตำรามีคู่มือในหัวข้อ มวยไทย การถ่ายทอดการแข่งขันการถ่ายทอดสดการแข่งขันที่จัดประจำสัปดาห์ ส่วนมากจะออกอากาศในวันเสาร์ หรือ วันอาทิตย์ มีการพนันอย่างกว้างขวางเพราะมีกฎหมายรองรับ ยกตัวอย่างประเทศที่มีการถ่ายทอดประจำทางโทรทัศน์ดังนี้
ดูเพิ่มอ้างอิง
อ่านเพิ่มวิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ มวยไทย
|