ภาษีภาษี (อังกฤษ: tax) เป็นเงินหรือทรัพย์สิน ที่เรียกเก็บจากประชาชนโดยองค์กรรัฐบาล เพื่อนำไปเป็นทุนในการใช้จ่ายของรัฐบาล และรายจ่ายสาธารณะต่างๆ และเป็นภาระหน้าที่สำหรับพลเมืองที่จะต้องเสียภาษีอากรในประเทศไทย และมีบทลงโทษสำหรับผู้หลีกเลี่ยงภาษี วัตถุประสงค์หลักของภาษี คือ เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายสาธารณะ เช่น การก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการด้านสาธารณสุข การศึกษา ความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชน รวมถึงระบบคุ้มครองทางสังคม ( การเกษียณอายุ สวัสดิการ การว่างงาน ความทุพพลภาพ ) ฯลฯ ประวัติสมัยโบราณและสมัยโบราณรูปแบบภาษีที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์ค้นพบหลักฐาน มาจากยุคเมโสโปเตเมียโบราณและอียิปต์โบราณ โดยหลุมฝังศพของราชวงศ์ทางตอนใต้ของอียิปต์ ค้นพบว่ามีการพบแผ่นจารึกที่มีสัญลักษณ์ คล้ายอักษรอียิปต์โบราณ ซึ่งมีรายการผ้าลินินและน้ำมันที่ส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์ Skorpion ซึ่งการถวายบรรณาการเป็นรูปแบบการเสียภาษีรูปแบบหนึ่ง โดยแผ่นจารึกนี้มีอายุที่วัดค่า C-14 ได้คือ ตั้งแต่ 3300 ถึง 3200 ปีก่อนคริสตกาล[2] ในสมัยกรีกโบราณ ระบบภาษีสำหรับชาวกรีกไม่ว่าจะเป็นพลเมืองกรีกหรือคนต่างด้าวที่มีถิ่นพำนักอาศัยในนครรัฐ สามารถทำงานบริการสาธารณะที่จัดตั้งขึ้นโดยนครรัฐ โดยสามารถเสนอบริการแก่นครรัฐกรีกได้ตามฐานะ โดยอาจเป็นการบริการอะไรก็ได้ ตั้งแต่นักแสดง นักดนตรีข้างถนน ไปจนถึงการสร้างเรือรบ[3] ซึ่งจัดเป็นการเสียภาษีรูปแบบหนึ่ง และนอกจากนี้ ยังมีภาษีทรัพย์สินพิเศษในช่วงสงครามที่เรียกว่า Eisphora[4] ในศตวรรษที่ 5 และ 4 ก่อนคริสต์ศักราช ในอัตราภาษี 1% ของทรัพย์สินทั้งหมด ในสาธารณรัฐโรมันภาษีเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ ในช่วง 200-150 ปีก่อนคริสตกาล ภาษีของประชาชนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้ของรัฐทั้งหมด ภาษีในจังหวัดประมาณ 20% และรายได้ภาษีอื่นๆ ประมาณ 7% โดยขนาดของภาษีขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของสงคราม เมื่อสาธารณรัฐโรมันสามารถพิชิตมาซิโดเนียและปล้นสะดม ชนเผ่าเอพิรุสในปี 167 ก่อนคริสตกาล สาธารณรัฐโรมันได้รับรายได้จำนวนมาก จนชาวโรมันได้รับการยกเว้นภาษีนานถึง 143 ปี จนเปลี่ยนผ่านยุคสาธารณรัฐโรมันสู่จักรวรรดิโรมัน[5] ในยุคถัดมา มีการอธิบายไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลด้วย ในปฐมกาล 47:24 โยเซฟบอกผู้คนว่า: "จากพืชผลนั้นเจ้าจงถวายหนึ่งในห้าแก่ฟาโรห์ สี่ในห้านั้นเจ้าจงมีไว้สำหรับเมล็ดพันธุ์และอาหารสำหรับตัวเจ้า ครัวเรือนและลูก ๆ ของเจ้า"[6] ซึ่งตีความว่า ผลผลิต 20% ต้องส่งแก่กษัตริย์อียิปต์ อีก 80% เก็บไว้ ยุคกรุงสุโขทัย (พ.ศ. 1763 - พ.ศ. 1893)ภาษียุคนั้นเรียกว่า จังกอบ หรือ ขนอน เป็นภาษีผ่านด่าน โดยมีลักษณะการเก็บ คือ มีของผ่านด่าน 10 ชิ้นชักออก 1 ชิ้น (อัตราภาษี 10%)[7] โดยเป็นการเก็บจากการขายสัตว์หรือสินค้าที่นำไปขายที่ต่างๆ หรือนำเข้ามา และการเก็บนั้นมิได้เก็บเป็นเงินตราเสมอไป หรืออาจเก็บเป็นสิ่งของแทนตัวเงิน หรือเก็บตามขนาดพื้นที่ขนาดหรือความยาวของเรือ ยุคกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310)การจัดเก็บภาษีอากร โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบเก็บคือ กรมคลัง ในระบบจตุสดมภ์ (ระบบการปกครองส่วนกลางภายในกรุงศรีอยุธยาสมัยอยุธยาตอนต้น) มี 4 ประเภท คือ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา[8]
ภาพรวมนิยามทางกฎหมายและเศรษฐกิจของภาษีแตกต่างกันตรงที่นักเศรษฐศาสตร์ไม่พิจารณาว่าการเคลื่อนย้ายทรัพยากรหลายอย่างไปยังรัฐบาลเป็นภาษี ตัวอย่างเช่น ทรัพยากรบางอย่างเคลื่อนย้ายไปยังภาครัฐบาลนั้นเทียบได้กับราคา เช่น ค่าเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยของรัฐและค่าธรรมเนียมซึ่งจัดหาให้โดยรัฐบาลท้องถิ่น รัฐบาลยังได้ทรัพยากรมาโดยการผลิตเงิน (เช่น การพิมพ์ธนบัตรและผลิตเหรียญกษาปณ์), ผ่านของกำนัลโดยสมัครใจ (เช่น การอุดหนุนมหาวิทยาลัยและพิพิธภัณฑ์ของรัฐ), โดยการกำหนดบทลงโทษ (เช่น ค่าปรับจราจร), โดยการกู้ยืม และโดยการยึดทรัพย์สิน จากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ภาษีนั้นไม่เกี่ยวกับการลงโทษตามกฎหมาย แต่กระนั้น การบังคับเคลื่อนย้ายทรัพยากรจากเอกชนไปยังภาครัฐบาลก็ยังเรียกเก็บจากพื้นฐานของเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและโดยไม่อ้างอิงถึงประโยชน์ที่ได้รับโดยเฉพาะ ในระบบการเก็บภาษีสมัยใหม่ ภาษีจะเก็บในรูปตัวเงิน แต่ภาษีอย่างเดียวกัน (in-kind) และแรงงานเกณฑ์ (corvée) เป็นลักษณะของการจัดเก็บภาษีในรัฐและท้องถิ่นโบราณหรือก่อนทุนนิยม วิธีการจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายเงินภาษีของรัฐบาลมักเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างมากในการเมืองและเศรษฐศาสตร์ กรมสรรพกรซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เป็นผู้จัดเก็บภาษี หากไม่จ่ายภาษีเต็มจำนวน อาจมีการกำหนดบทลงโทษทางแพ่ง (เช่น การปรับหรือการริบทรัพย์) หรือทางอาญา (เช่น การกักขัง) ต่อปัจเจกบุคคลหรือนิติบุคคลนั้น ดูเพิ่ม
อ้างอิง
|