กลอน
กลอน เป็นลักษณะคำประพันธ์ไทยที่ฉันทลักษณ์ประกอบด้วยลักษณะบังคับ 3 ประการคือ คณะ จำนวนคำ และสัมผัส[1] ไม่มีบังคับเอกโทและครุลหุ[2] เชื่อกันว่าเป็นคำประพันธ์ท้องถิ่นของไทยแถบภาคกลางและภาคใต้ โดยพิจารณาจากหลักฐานในวรรณกรรมทั้งวรรณกรรมลายลักษณ์(เป็นตัวหนังสือ) และวรรณกรรมมุขปาฐะ(เป็นคำพูดที่บอกต่อกันมาไม่มีการจดบันทึก) โดยวรรณกรรมที่แต่งด้วยกลอนเก่าแก่ที่สุดคือ เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา และเพลงยาว ณ พระที่นั่งจันทรพิศาล กวีแต่งในสมัยอยุธยาตอนปลาย ก่อนหน้านั้นกลอนคงอยู่ในรูปแบบวรรณกรรมมุขปาฐะเป็นร้อยกรองชาวบ้านเช่น บทร้องเล่น บทกล่อมเด็ก เพลงชาวบ้าน เป็นต้น กลอนมารุ่งเรืองในยุครัตนโกสินทร์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีกวีสำคัญๆ ได้แก่ องค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ กรมหลวงวรวงศาธิราชสนิท ฯลฯ โดยเฉพาะสุนทรภู่ เป็นกวีที่ทำให้ฉันทลักษณ์กลอนพัฒนาถึงระดับสูงสุด มีความลงตัวทางฉันทลักษณ์ทำให้กลอนลีลาแบบสุนทรภู่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแบบฉบับของกลอนที่ไพเราะที่สุดและนิยมแต่งจนถึงปัจจุบัน[1] การจำแนกกลอนกลอนจำแนกตามฉันทลักษณ์ฉันทลักษณ์ของกลอนในวรรณกรรมจำแนกได้ 5 ประเภทคือ จำแนกตามจำนวนคำ จำแนกตามคำขึ้นต้น จำแนกตามคณะ จำแนกตามบทขึ้นต้นและจำแนกตามการส่งสัมผัส
กลอนสังขลิกและกลอนหัวเดียว ปรากฎเฉพาะในร้อยกรองมุขปาฐะ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลอนชาวบ้าน กลอนจำแนกตามวัตถุประสงค์การนำไปใช้แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
ประดิษฐการทางฉันทลักษณ์ของกลอนในสมัยอยุธยา กลอนที่แพร่หลายคือ กลอนเพลงยาว และกลอนบทละคร ต่อมามีกวีที่ศึกษาฉันทลักษณ์ของกลอนและประดิษฐ์ฉันทลักษณ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างหลากหลายคือ หลวงศรีปรีชา (เซ่ง) ซึ่งประดิษฐ์กลอนกลบทถึง 86 ชนิด ไว้ใน กลบทศิริวิบุลกิตติ ซึ่งเป็นต้นแบบกลอนสี่ กลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด และกลอนเก้า รวมทั้งกลอนนิทาน ในสมัยรัตนโกสินทร์ รองอำมาตย์เอก หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) (พ.ศ. 2401 - พ.ศ. 2471) กวีคนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 - 6 ได้แต่ตำราคำประพันธ์ ประชุมลำนำ โดยพัฒนาฉันทลักษณ์ของกลอนให้มีรูปแบบหลากหลายขึ้น ซึ่งได้กำหนดรูปแบบ บท และ ลำนำ ขึ้น โดยให้ บท เป็นกลอนที่มีคำขึ้นต้น ส่วน ลำนำ เป็นกลอนที่มีจำนวนคำวรรคคี่และวรรคคู่ไม่เท่ากัน หากกลอนที่มีลักษณะทั้งสองรวมกันจะเรียกว่า บทลำนำ นอกจากนี้ยังได้ค้นคว้าฉันทลักษณ์ของกลอนสุภาพและกลอนชาวบ้านอย่างละเอียด และได้จำแนกกลอนต่าง ๆ อย่างพิสดาร ได้แก่ กลอนสุภาพ บทกลอนสุภาพ ลำนำกลอนสุภาพ บทลำนำกลอนสุภาพ กลอนสังขลิก บทกลอนสังขลิก ลำนำกลอนสังขลิก บทลำนำกลอนสังขลิก กานต์ บทกานต์ ลำนำกานต์ และบทลำนำกานต์ แต่เสียดายที่ ประชุมลำนำ ซึ่งเสร็จในปี พ.ศ. 2470 ไม่ได้ถูกนำออกมาเผยแพร่ จนกระทั่งสำนักนายกรัฐมนตรีได้พิมพ์ออกเผยแพร่ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 เป็นเหตุให้คำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ ของหลวงธรรมาภิมณฑ์ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร พัฒนาการของกลอนพัฒนาการด้านรูปแบบในสมัยอยุธยากลอนเพลงยาว และกลอนบทละครยังครองความนิยมด้วยจำนวนคำ และการส่ง-รับสัมผัสไม่เคร่งครัดนัก จนกระทั่งหลวงศรีปรีชาได้ริเริ่มประดิษฐ์กลอนที่มีจำนวนคำเท่ากันทุกวรรคขึ้น และประสบความสำเร็จสูงสุดในสมัยสุนทรภู่ ก่อให้เกิดการจำแนกกลอนออกเป็น 2 ประเภทคือ กลอนสุภาพ ที่มีจำนวนคำเท่ากันทุกวรรค และกลอนที่กำหนดจำนวนคำในวรรคโดยประมาณ เช่น กลอนเพลงยาว กลอนบทละคร กลอนเสภา เป็นต้น ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) กลอนเพลงยาว กลอนบทละคร และกลอนเสภาเริ่มเสื่อมความนิยมลง กลอนที่มีจำนวนคำเท่ากันทุกวรรคเพิ่มบทบาทมากขึ้น เนื่องด้วยเป็นกลอนอเนกประสงค์ ไม่จำกัดด้วยคำขึ้นต้น คำลงท้าย หรือการนำไปใช้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) กวีมีการพัฒนากลอนหก กลอนเจ็ด รวมถึงรูปแบบกลอนเพลงชาวบ้านมาใช้ในวรรณกรรม ในยุคนี้เริ่มมีการใช้เครื่องหมายวรรคตอนมาใช้ในกลอน เพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึก หรือกำหนดจังหวะในการอ่าน นอกจากนี้ กวียังเคร่งครัดการแต่งกลอนให้ลงจำนวนคำ จังหวะและสัมผัสตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดด้วย เช่นกลอนหก วรรคละ 6 คำ 3 จังหวะ (2-2-2) รับสัมผัสในคำที่ 2 หรือ กลอนแปด วรรคละ 8 คำ 3 จังหวะ (3-2-3) รับสัมผัสคำที่ 3 ความนิยมดังกล่าวทำให้เกิดรูปแบบการแต่งกลอนโดยแบ่งเป็น 3 ตอน ในแต่ละวรรค เพื่อกำหนดจังหวะในการอ่าน ตัวอย่าง
พัฒนาการด้านกลวิธีในการแต่งจังหวะกลอนสมัยอยุธยา ไม่เคร่งครัดทั้งรูปแบบ จังหวะ และเสียงของถ้อยคำ ตัวอย่างเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
กวีสมัยรัตนโกสินทร์ได้พัฒนากลวิธีการแต่งให้มีวรรคละ 3 จังหวะสม่ำเสมอ และบังคับตำแหน่งรับสัมผัสตำแหน่งที่แน่นอน ตัวอย่างจากนิราศพระบาทของสุนทรภู่
การเลือกเสียงของถ้อยคำการเลือกเสียงของคำท้ายวรรค กวีในสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการพัฒนาการเลือกเสีงคำลงท้ายวรรคเพื่อช่วยให้ลีลาของกลอนมีความไพเราะรื่นหูยิ่งขึ้น โดยในประชุมลำนำ ได้กล่าวถึงลักษณะบังคับเสียงท้ายวรรคของกลอนไว้ว่า ...มีบังคับไตรยางศในที่สุดของกลอนรับให้ใช้แต่อักษรสูง อย่าให้ใช้อักษรกลางแลอักษรต่ำที่เป็นสุภาพ ในที่สุดของกลอนรองแลกลอนส่งนั้นให้ใช้แต่อักษรกลางแลอักษรต่ำ นอกนั้นไม่บังคับ นอกจากนี้ยังอธิบายการใช้วรรณยุกต์ท้วยวรรคเพิ่มเติมว่า
เสียงของคำในวรรค มีการเพิ่มความไพเราะด้วยการเลือกใช้สัมผัสสระ และสัมผัสอักษร ตลอดจนการใช้คำที่มีเสียงหนักเบา กลวิธีอื่น ๆ ได้แก่ การซ้ำคำ (ยมก) การแยกคำข้ามวรรค (ยัติภังค์) การซ้ำพยัญชนะท้ายวรรคแรกกับต้นวรรคถัดไป (นิสสัย) การซ้ำพยัญชนะท้ายวรรคแรกกับคำที่สองของวรรคถัดไป (นิสสิต) การไม่ใช้สัมผัสเลือนหรือสัมผัสซ้ำ การกำหนดหลักเกณฑ์การใช้วรรณยุกต์เสียงท้ายวรรคต่าง ๆ [3] ว่าท้ายวรรคสดับใช้ได้ทั้งห้าเสียง ท้ายวรรครับห้ามเสียงสามัญนิยมเสียงจัตวา ท้ายวรรครองห้ามเสียงจัตวานิยมใช้เสียงสามัญ เป็นต้น ทำให้กลอนกลายเป็นคำประพันธ์ที่มีฉันทลักษณ์ค่อนข้างตายตัว ความคลี่คลายของกลอนสู่สมัยปัจจุบันฉันทลักษณ์ของกลอนพัฒนาถึงระดับสูงสุดระหว่างสมัยรัชกาลที่ 6 และสมัยรัชกาลที่ 7[4] เนื่องจากเทคโนลียีการพิมพ์ช่วยให้ความรู้ต่างๆ กระจายตัวมากขึ้น มีการตีพิมพ์ตำราแต่งคำประพันธ์และใช้เป็นแบบเรียนด้วย ทำให้เกิดแบบแผนการประพันธ์ที่อยู่ในกรอบเดียวกัน ดังนั้น งานกลอนในระหว่าง พ.ศ. 2486 - พ.ศ. 2516 จึงอยู่ในกรอบของฉันทลักษณ์ และพราวด้วยสัมผัสตามตำราอย่างเคร่งครัด ความคลี่คลายของจำนวนคำและการใช้สัมผัสใน หลัง พ.ศ. 2516 ประเทศอยู่ในภาวะผันผวนทางการเมือง กลอนรูปแบบเดิมไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกแห่งยุคสมัยได้ กวีจึงได้เลือกใช้กลอนที่กำหนดจำนวนคำในวรรคโดยประมาณ ลดสัมผัสสระมาใช้สัมผัสอักษร ลดความเคร่งครัดเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค ใช้เสียงหนัก-เบา สั้น-ยาว มาสื่ออารมณ์ความรู้สึก เลือกใช้คำง่าย ๆ แทนโวหารเก่าๆ ตลอดจนฟื้นฟูฉันทลักษณ์กลอนชาวบ้านมาใช้ในร้อยกรองมากขึ้น เช่น "กินดิน กินเมือง" ของ ประเสริฐ จันดำ หรือ "เพลงขลุ่ยผิว" ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นต้น ความคลี่คลายของจังหวะและสัมผัสนอก กวีบางคนเช่น อังคาร กัลยาณพงศ์ และ ถนอม ไชยวงศ์แก้ว เสนอกลอนที่จำนวนคำและจังหวะในวรรคไม่สม่ำเสมอ ตลอดจนรับสัมผัสไม่สม่ำเสมอทุกวรรค ตัวอย่าง โลก ดาราจักร และพระพุทธเจ้า ของ อังคาร กัลยาณพงศ์
ความคลี่คลายด้านรูปแบบ กวีสมัยปัจจุบันเสนอผลงานกลอนหลากหลายรูปแบบ จัดเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรก ยึดฉันทลักษณ์กลอนประเภทต่างๆ เช่นของเดิม แต่ปรับกลวิธีใช้สัมผัสใน และยืดหยุ่นจำนวนคำ เป็นการย้อนรอยฉันทลักษณ์ของกลอนยุคก่อนสุนทรภู่ ได้แก่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, สุจิตต์ วงษ์เทศ, ประกาย ปรัชญา, ประเสริฐ จันดำ, ไพรวรินทร์ ขาวงาม เป็นต้น กลุ่มที่สองใช้เฉพาะสัมผัสนอกเป็นกรอบกำหนดประเภทงานว่าอยู่ในจำพวกกลอน ส่วนจำนวนคำ กลวิธี และท่วงทำนองอื่น ๆ เป็นไปโดยอิสระ ได้แก่ อังคาร กัลยาณพงศ์, ถนอม ไชยวงศ์แก้ว, วุธิตา มูสิกะระทวย, ศักดิ์สิริ มีสมสืบ เป็นต้น อ้างอิง |